คิด ไม่่ใช่วิบาก
คุณบุษบงรำไพ เมื่อกี้ท่านอาจารย์ก็บรรยายว่า ทุกอย่างเป็นวิบาก คือ ผลของกรรมที่จะต้องเกิดขึ้นกับเรา
ท่านอาจารย์ ขณะเห็น ขณะได้ยิน ๕ ทาง
คุณบุษบงรำไพ ถ้าเราไปว่าคนอื่นเขา ถ้าเราจะไม่คิดว่า นี่เป็นสิ่งที่ไม่ดีของเรา เราอาจจะคิดกลับได้ไหมว่า นั่นเป็นวิบากที่เขาจะต้องรับเสียงที่ไม่ดีอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ อันนี้เราต้องเป็นผู้ตรง คือ ก่อนอื่นต้องรู้ว่า การรับผลของกรรมมี ๕ ทาง คือ ทางตา ขณะที่เพียงเห็น ยังไม่คิด เพียงเห็น เราเลือกเห็นไม่ได้ ทุกคนอยากจะเห็นสิ่งสวยๆ งามๆ ทั้งนั้น แต่บางคนก็ได้เห็น บางคนก็ไม่ได้เห็น ชั่วขณะที่ได้ยิน ยังไม่ได้คิด เพราะว่าพอได้ยินแล้วคิด นั่นไม่ใช่วิบากแล้ว ไม่ใช่ผลของกรรมแล้ว ขณะที่คิด คิดดีก็ได้ คิดไม่ดีก็ได้
เพราะฉะนั้นต้องแยกว่า แค่ตาเห็นเป็นผลของกรรม แต่หลังจากเห็นแล้วคิด นั่นเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผลข้างหน้าแล้ว
เพราะฉะนั้นที่เราได้ยินเสียงที่ไม่ดี ขณะนั้นเป็นผลของอกุศลกรรม แต่เวลาที่เราคิดว่า เขาว่าเรา จิตอะไรที่คิด ขณะนั้นเป็นเหตุใหม่ แล้วเราคิดถึงเขาด้วยเมตตา หรือด้วยอกุศลจิต จิตที่ดีเกิดขึ้น หรือจิตที่ไม่ดีเกิดขึ้น และจิตที่ไม่ดีจะสะสมไปเรื่อยๆ
เหตุการณ์ที่ถนนเพชรบุรีที่มีก๊าซระเบิด ไปทางไหนก็มีแต่คนสงสารทั้งนั้น สงสารเหลือเกิน สงสารเหลือเกิน ทำไมเขาต้องเป็นอย่างนี้อย่างนั้น แล้วทำไมไม่สงสารตั้งแต่เขาเริ่มทำอกุศลกรรม ซึ่งเป็นเหตุให้เขาต้องได้รับผลอันนั้น ถ้าเขาไม่ได้ทำอกุศลกรรมมา วิบากอย่างนั้นจะไม่เกิดกับเขาเลย คนที่ได้รับผลนั้นต้องเป็นผลของอกุศลกรรมที่เขาทำแล้ว แล้วทำไมเราสงสารเขาช้า ไปสงสารตอนที่เขาได้รับผล สงสารตั้งแต่เขาเริ่มทำอกุศลกรรมไม่เร็วกว่าหรือคะ ทำไมต้องไปจงเกลียดจงชัง หรือไปว่าร้ายเขา ในเมื่อสิ่งนั้นเขาก็ได้ทำไปแล้ว แล้วก็เป็นอกุศลด้วย
เพราะฉะนั้นพระธรรมท่านอุปมาว่า เหมือนกระจกเงาซึ่งติดตามเราไปตลอด สามารถจะส่องถึงใจของเราทันทีที่เราพูดหรือคิด ให้รู้ว่า ขณะนั้นเป็นกุศลจิตหรือเป็นอกุศลจิต ทำให้เราต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เป็นอกุศลกรรมของเขา ไม่ต้องคิดเลย เพราะเหตุว่านั่นเป็นโลกอีกใบหนึ่ง แต่โลกใบนี้เป็นอกุศลหรือเป็นกุศลที่กำลังคิดอย่างนั้น