กำลังเกิดตายอยู่ทุกขณะ
ผู้ฟัง อาจจะไม่เกิดเดี๋ยวนั้น
ท่านอาจารย์ ต้องเกิดทันที เพราะเวลานี้จิตเกิดดับสืบต่อไม่มีช่องว่างเลย แม้แต่ขณะที่นอนหลับสนิทที่เราไม่เห็น ไม่ได้ยินเลย แต่ก็รู้ว่าคนนี้ยังไม่ตาย เพราะเหตุว่ายังมีจิตซึ่งเกิดดับทำให้ดำรงความเป็นบุคคลนั้นอยู่
ขณะที่เห็นเป็นจิตขณะหนึ่ง ขณะที่ได้ยินเป็นจิตขณะหนึ่ง ขณะที่คิดเป็นจิตขณะหนึ่ง ซึ่งจิตเกิดขึ้นทีละขณะ จะเกิดพร้อมกันหลายๆ ขณะไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นให้เห็นการเกิดขึ้นสืบต่อกัน พอจิตเห็นดับ จะมีจิตเกิดสืบต่อ และมีจิตได้ยิน พอจิตได้ยินดับ ก็มีจิตเกิดขึ้นสืบต่อไม่ว่างเว้น เรียกว่าขณะนี้ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม จิตกำลังเกิดขึ้นทำกิจการงาน โดยที่เราไม่รู้จึงคิดว่าเป็นเราทั้งหมด แต่ความจริงแล้วต้องเข้าใจว่ามีจิต จิตคืออะไร ทั้งๆ ที่มีก็ยังไม่รู้ แต่ถ้าศึกษาก็จะทราบว่า จิตต่างกับรูป เพราะเหตุว่าถ้าพูดถึงรูป หรือ รูปะในภาษาบาลี หมายความถึงสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย อย่างแข็ง หรือเย็น หรือหอม หรือเปรี้ยว พวกนี้เป็นรูป เสียงไม่ใช่สภาพรู้ แต่มีผู้ได้ยินเสียง มีลักษณะอาการได้ยิน ขณะนี้กำลังได้ยิน ลักษณะนั้นคือจิต
เพราะฉะนั้นจิตเป็นสภาพที่มีอยู่ มองไม่เห็น ไม่มีรูปร่าง แต่ว่ามีกิจการงาน คือ จิตเกิดขึ้นจะไม่อยู่เฉยๆ เลย สภาพธรรมที่เป็นจิตเกิดขึ้นต้องทำหน้าที่หรือกิจการงานอย่างหนึ่งอย่างใด แล้วจึงดับ ซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็วมากในขณะนี้
เพราะฉะนั้นจิตนั่นเองเกิด และจิตนั่นเองตาย แล้วจิตนั่นเองก็เกิดอีก เหมือนในขณะนี้ซึ่งจิตก็กำลังเกิดดับ หรือจะใช้คำว่า กำลังเกิดตายอยู่ทุกขณะ ซึ่งถ้าสนใจภาษาบาลี จะใช้คำว่า “ขณิกมรณะ” “ขณิก” ก็มาจากคำว่า “ขณะ” “มรณะ” ก็คือตาย
ขณะนี้เรากำลังตายทุกขณะ ทางวงการแพทย์หรือทางวิทยาศาสตร์อาจจะบอกว่า เฉพาะรูปเท่านั้นที่เกิดดับเปลี่ยนแปลง แต่ตามความเป็นจริงแล้วจิตก็กำลังเกิดดับด้วย ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อวานนี้หมดแล้ว ก็มีวันนี้ วันนี้ก็กำลังหมด กำลังหมดไปทุกขณะ จะถึงพรุ่งนี้ซึ่งก็หมดไปๆ ทุกขณะ จนกว่าจะถึงเวลาที่หมดสิ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ ซึ่งเป็นของธรรมดา ให้เข้าใจว่าเป็นของธรรมดาซึ่งทุกคนหนีไปพ้น หลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะฉะนั้นในระหว่างที่เรายังมีชีวิตอยู่ ยังเห็น ยังได้ยิน สิ่งประเสริฐที่สุดก็คือว่า เราสามารถเข้าใจความจริงของสภาพธรรม ซึ่งน่าเข้าใจ เพราะว่าสุขทุกข์ก็อยู่ที่ใจนี่แหละ ถ้าไม่มีใจ จะมีสุขมีทุกข์ได้ไหม เพราะฉะนั้นแม้แต่ความสุขความทุกข์ก็ยังต้องอาศัยใจ อาศัยจิตที่เห็น และเกิดสุขเกิดทุกข์บ้าง อาศัยจิตที่ได้ยิน และจิตต่อไปก็เป็นสุขเป็นทุกข์บ้าง
เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจเรื่องสภาพธรรมเหล่านี้ เราก็ยังรู้แหล่งของทุกข์ พอที่จะสามารถแก้ความทุกข์ได้ แต่ถ้าไม่มีปัญญา อย่างไรๆ ก็แก้ไม่ได้ เพราะว่าเป็นความไม่รู้ ก็ต้องเป็นทุกข์ เพราะความไม่รู้นั่นเอง