ปัญญาต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฎ
คุณศุกล เท่าที่ท่านอาจารย์กล่าวมาทั้งหมดจะเน้นเรื่องความรู้ คือตัวปัญญา
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว ไม่มีทางถึงนิพพาน
คุณศุกล ทีนี้ปัจจุบันนี้เป็นที่ทราบว่า มีการปฏิบัติธรรมแบ่งเป็น ๒ ลักษณะ คือ ลักษณะหนึ่งไปนั่งทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบ แล้วพิจารณาว่า สังขารนี้ไม่เที่ยง ไม่ควรยึด ไม่ควรถือ ควรจะปล่อยวางไว้เสีย แล้วปัญญาก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ การสั่งสอนแบบนี้ กับการมีปัญญาตามที่ท่านอาจารย์ได้บรรยายมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้ อยากจะทราบว่า ความรู้ที่ถูกต้องนั้นควรจะเป็นข้อปฏิบัติอย่างไหนครับ
ท่านอาจารย์ ปัญญาไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา เหมือนกับเห็นในขณะนี้ ก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา สัตว์ก็เห็น สภาพที่เห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย โลภะ ความต้องการยินดี ก็ไม่ใช่เรา ไม่ว่าใครทั้งนั้น แมว สุนัข กระต่าย คน เทวดา หรือใครก็ตาม เวลาที่มีความติดข้อง ความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็เป็นชั่วขณะจิตที่มีความต้องการเกิดขึ้น ประกอบด้วยเจตสิก คือ โลภเจตสิก หรือสภาพธรรมที่ยึดติดทำให้ขณะนั้นต่างกับขณะที่โกรธ ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ขุ่นใจแล้ว ขณะนั้นก็เป็นลักษณะที่ต่างกัน
เพราะฉะนั้นถ้าจะพิจารณาแต่ละลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตประจำวันจะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เราเลยสักอย่างเดียว ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ถ้าเห็นสิ่งที่น่าดู ความชอบใจ ความเพลิดเพลิน ความติดข้องก็เกิด ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่น่าดู ความขุ่นใจ ความเคืองใจก็เกิด
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า แต่ละขณะเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ปัญญาก็เช่นเดียวกัน ปัญญาก็ไม่ใช่เราที่จะไปทำ แต่ว่าปัญญา คือ ความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ทำไมพุทธศาสนิกชนต้องฟังพระธรรม เพราะพระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม คือ เรื่องของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ให้คนฟังเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าใครก็ตามจะไปปฏิบัติธรรมโดยไม่มีปัญญา หรือไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วจะไปทำอะไร ต้องเข้าใจว่า ปัญญา คือ ขณะที่กำลังฟังขณะนี้ เข้าใจขึ้นบ้างหรือยังในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้ายังไม่เข้าใจ ปัญญาก็ยังไม่เกิด แล้วจะทำอย่างไร ก็ต้องฟังอีก ฟังแล้วก็ต้องคิด แล้วก็ต้องพิจารณาด้วย เพราะเหตุว่าบางครั้งมีการฟังจริง แต่ไม่ได้คิดตามที่ได้ฟังเลย ฟังเท่านั้น ใครถามบางทีก็ตอบไม่ได้เลยว่า ฟังเรื่องอะไร แต่ถ้าฟังแล้วพิจารณาแล้วเข้าใจขึ้นนิดหนึ่งว่า วันนี้พูดถึงเรื่องสภาพของจิตใจ พูดถึงเรื่องปัญญาซึ่งเป็นสิ่งที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ และทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน สภาพธรรมเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ถ้ามีความเข้าใจเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เป็นสังขารขันธ์ อย่างที่เราเคยพูดว่า ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ไม่มีตัวเราเลย มีแต่สภาพธรรมซึ่งแยกไปตามความยึดถือ ตามความติดข้อง เพราะฉะนั้นสังขารขันธ์ก็คือความเข้าใจในขณะนี้ จะปรุงแต่งให้มีความเข้าใจขณะต่อไปเพิ่มขึ้นๆ
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรม หมายความถึงการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น และให้เพิ่มขึ้น ให้มีมากขึ้น และปัญญานั้นไม่ได้รู้อย่างอื่นเลย รู้สิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ
เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปไหน อยู่ที่นี่ มีธรรมกำลังปรากฏ แล้วก็มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏหรือยัง ถ้าไม่มีความเข้าใจก็เริ่มฟัง เริ่มพิจารณา แล้วไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เมื่อมีความเข้าใจแล้ว ก็จะมีการระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็พิจารณาจนกระทั่งมีความเข้าใจถูกต้องเพิ่มขึ้น
นี่คือจิรกาลภาวนาซึ่งมีในพระไตรปิฎก การอบรมเจริญปัญญาต้องเป็นเรื่องยาว ต้องเป็นเรื่องนาน ต้องเป็นเรื่องละเอียด เพราะเหตุว่าเป็นปัญญาที่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว พระองค์ตรัสรู้ว่า สภาพธรรมขณะนี้กำลังเกิดดับ ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะซึ่งเป็นพระสาวกรูปแรกก็ได้รู้ตามความเป็นจริงในขณะที่ได้ฟังพระเทศนาจบลงว่า สภาพธรรมขณะนี้เกิดแล้วดับจริงๆ ขณะนั้นจะเป็นหนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญาอย่างนี้ก็เป็นตัวตนที่ไปทำ โดยที่ไม่ฟังพระธรรมให้เข้าใจว่า การตรัสรู้ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น ให้บุคคลทั้งหลายได้อบรมเจริญปัญญาตาม ก็คือรู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้