กุศลของใครก็ของคนนั้น


    คุณศุกล ทุกวันนี้มีผู้สงสัยเรื่องของการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว โดยเฉพาะมารดาบิดาหรือผู้มีพระคุณ ทุกครั้งที่มีการทำบุญก็ดี หรือบริจาคเงินเพื่อศาสนกิจก็ดี สงสัยว่า การอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจะมีโอกาสไปถึงบุคคลที่เราปรารถนาให้ได้รับส่วนบุญกุศลนั้น ได้หรือไม่ได้ครับ และถ้าไม่ได้ บุญนั้นจะไปอยู่ที่ไหน

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นต้องทราบว่า ไม่ใช่มีโลกนี้โลกเดียวซึ่งเป็นที่เกิด ในโลกนี้เรามองเห็นกำเนิดที่ต่างกัน คือ มนุษย์กับสัตว์เดรัจฉาน แสดงให้เห็นสภาพของจิตที่ต่างกัน มนุษย์สามารถฟัง พิจารณา อบรมเจริญปัญญาได้ แต่ว่าสัตว์เดรัจฉานฟังไม่ออก เพราะฉะนั้นก็ไม่สามารถอบรมเจริญปัญญาได้อย่างมนุษย์

    นี่คือกำเนิดที่ต่างกันเพราะกรรม ถ้าเป็นผลของกุศล ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือถ้าอบรมเจริญฌานจิตสามารถเกิดเป็นพรหม แต่ถ้าเป็นผลของอกุศล ก็เกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า มีภพภูมิอื่นด้วย

    เพราะฉะนั้นการอุทิศส่วนกุศลก็ต้องแล้วแต่บุคคลนั้นไปเกิดที่ไหน ถ้าบุคคลนั้นเกิดในนรก ก็ไม่สามารถล่วงรู้อนุโมทนาได้ ถ้าเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ไม่สามารถจะรู้ และอนุโมทนาได้ ถ้าเกิดเป็นเปรต สามารถจะรู้อนุโมทนาได้ ถ้าเกิดเป็นเทพหรือเป็นเทวดา ก็สามารถจะรู้ และอนุโมทนาได้

    เพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึงการอุทิศส่วนกุศล คนส่วนใหญ่คิดว่า ส่งไปให้เหมือนทางไปรษณีย์ แต่ความจริงให้ทราบว่า กุศล คือ จิตที่ดีงาม เพราะฉะนั้นเราจะเอาจิตที่ดีงามของเราไปยกให้ใครไม่ได้ เพราะว่าจิตเกิดขึ้น และดับไปเร็วมาก

    ทุกคนกำลังมีจิต เพราะฉะนั้นทุกคนก็ทราบว่า จิตของทุกคนบางครั้งก็เป็นกุศล บางครั้งเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นกุศลของใครก็ของคนนั้น ถ้าเราเห็นคนอื่นทำความดี เราอนุโมทนายินดีด้วยไหม ถ้าขณะที่เราอนุโมทนายินดีด้วย ให้ทราบว่าขณะนั้นเป็นกุศลจิต จึงสามารถจะยินดีได้ในกุศล ในคุณงามความดีของบุคคลอื่น ขณะเป็นมนุษย์ฉันใด ถ้าเราตายไปแล้วเราเกิดในภพภูมิอื่น แล้วสามารถรู้ว่า ญาติพี่น้องก็ดี เพื่อนฝูงก็ดี เขายังระลึกถึงความดีที่เรามีต่อกัน แล้วเขาก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ เพื่อเราจะเกิดจิตยินดีอนุโมทนาขณะใด ขณะนั้นเป็นกุศลของเราที่ยินดีอนุโมทนา

    เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงคนอื่น เราเองขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ อนุโมทนาในคุณความดีของคนอื่นขณะใด ขณะนั้นเป็นกุศลจิตของเราเอง เพราะฉะนั้นเมื่อตายไป คนที่เราอุทิศส่วนกุศลให้ ถ้าเขาเกิดอนุโมทนายินดีขณะใด ก็เป็นกุศลของเขาขณะนั้น ไม่ใช่เราจะให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเขา หรือเราจะเอากุศลจิตของเราไปให้เขา ก็ไม่ใช่ เพียงแต่ว่า ทำดีให้เขาอนุโมทนา โดยอุทิศให้เขารู้ว่า เราทำดีเพื่อให้เขาอนุโมทนาในกุศลจิต เขาเกิดจิตอนุโมทนาก็เป็นกุศลของเขา

    ต้องเข้าใจเรื่องของกุศล เป็นของแต่ละบุคคลเอง แล้วไม่ว่าภพไหนชาติไหน ก็เหมือนกัน ที่ทรงแสดงไว้ว่า เวลาที่อุทิศส่วนกุศลไปให้เปรต และเปรตเกิดอนุโมทนา ก็พ้นจากสภาพของความเป็นเปรต เพราะจิตที่เป็นกุศลของเปรตที่อนุโมทนา แต่ถ้าเปรตไม่อนุโมทนา ก็ไม่ใช่กุศลจิตของเปรต กุศลกรรมของใครก็ให้ผลแก่คนนั้น


    หมายเลข 8013
    24 ส.ค. 2567