เริ่มต้นจริงๆนั้นคืออย่างไร ๑
ผู้ฟัง ขอกราบเรียนให้ท่านอาจารย์อธิบายว่า “เริ่มต้นจริงๆ คืออย่างไร” เพราะโอกาสที่เราจะมาเริ่มต้นพร้อมๆ กัน เป็นสิ่งที่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะบางท่านก็อาจจะฟังธรรมมา ๕ ปี ๑๐ ปี หรือ ๑ ปี หรือบางท่านก็เพิ่งฟังประมาณ ๓ – ๔ เดือนก็ได้ ทีนี้การเริ่มต้นจริงๆ คืออย่างไร
ท่านอาจารย์ ที่จริงแล้วต้องการที่สุด คือ ต้องการให้เป็นการสนทนาธรรม เพราะว่าแต่ละคนก็คงจะมีธรรมที่ได้เคยฟังมาแล้ว แล้วก็อยากจะทราบให้ชัดเจนในสิ่งที่เคยฟังมาแล้ว และสำหรับเรื่องการตั้งต้นขอให้ทราบว่า ถ้าลองฟังวิทยุตามรายการที่มีอยู่ข้างหลังหนังสือ ก็ถือว่าเป็นการตั้งต้นได้ หรือว่าจะอ่านหนังสือธรรมเล่มไหนก็ได้ที่ได้รับไปแล้ว โดยเฉพาะเรื่อง “ปรมัตถธรรมสังเขป” ถ้าสามารถมีเวลาอ่าน จะรู้ได้จริงๆ ว่า นั่นเป็นตอนที่ตั้งต้น
เพราะฉะนั้นจุดตั้งต้นก็คือการฟังพระธรรม และไม่ใช่เพียงฟังเฉยๆ ฟังแล้วก็พิจารณาหาเหตุผล เพราะเหตุว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตัวเอง เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง แล้วทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา ตลอดพระชนม์ชีพ นับตั้งแต่เมื่อตรัสรู้แล้ว ก็ได้เดินทางไปโปรดปัญจวัคคีย์ และชีวิตประจำวันของพระองค์ก็ได้กระทำกิจ คือ การแสดงธรรมในวันหนึ่งๆ หลายครั้ง อย่างพวกเราที่สนใจธรรมก็อาจจะรับฟังวิทยุตอนเช้า และตอนค่ำ ก็แค่ ๒ ครั้ง แต่พระผู้มีพระภาคในวันหนึ่งๆ เมื่อเสด็จบิณฑบาต บางทียังเช้านัก ก็ยังไปสนทนากับผู้เห็นควรที่จะสนทนาด้วย เพื่ออนุเคราะห์คนนั้นให้เข้าใจ เพราะเหตุว่าพระองค์เป็นผู้ที่ไม่มีใครทำให้พระองค์ไม่สามารถอธิบายหรือทำให้คนนั้นเกิดความเข้าใจผิดได้ ถ้ามีโอกาสได้ศึกษา ได้อ่านพระสูตร ก็จะเห็นได้ว่า การสนทนาระหว่างพระผู้มีพระภาคกับใครก็ตาม ทำให้บุคคลนั้นเริ่มมีความเห็นถูกต้องขึ้น นี่เป็นเวลาก่อนบิณฑบาต
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้จากตัวอย่างที่พระองค์ทรงอนุเคราะห์พุทธศาสนิกชน หรือใครก็ตามที่มีศรัทธาให้เกิดปัญญา ไม่ใช่เพื่อให้อย่างอื่นเลย เพราะว่าทุกคนเกิดมาในโลกนี้ด้วยความไม่รู้ เพราะเหตุว่ายังไม่ใช่พระอรหันต์ ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วไม่เกิดอีก พระอรหันต์ คือ ผู้ดับกิเลสหมด
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพิจารณาความจริงตั้งแต่ต้นว่า แม้แต่พระผู้มีพระภาคเมื่อประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ยังไม่ได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นต้องมีกิเลสจึงเกิด คนที่ไม่เกิดมีบุคคลเดียวเท่านั้น คือ พระอรหันต์
เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดมาแล้วทุกคนมีความไม่รู้เรื่องของโลกนี้ เรื่องของตัวเอง เกิดมาเพราะอะไรก็ไม่ทราบ แล้วทำไมเราถึงเกิดมาต่างกันก็ไม่ทราบอีกเหมือนกัน บางคนก็เกิดมามีร่างกายครบถ้วนไม่พิการ แต่บางคนก็สติปัญญาอ่อน หรืออาจจะพิการ หรือเป็นบ้า เป็นใบ้ หูหนวก ตาบอดมาตั้งแต่เกิด
นี่แสดงให้เห็นว่าต้องมีเหตุสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างทุกประการที่เกิดขึ้นตั้งแต่เกิดจนตาย นี่ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าเราไม่ฟังพระธรรม เราไม่โอกาสจะรู้จักตัวเรา ไม่มีโอกาสรู้จักโลก ไม่มีโอกาสรู้จักความจริงว่า แท้ที่จริงเรามีความไม่รู้ และมีโลภะ มีโทสะ มีโมหะ มีกิเลสมากน้อยเพียงใด
เพราะฉะนั้นก็เป็นการดีที่สุดที่จะรู้จักตัวเอง เพราะว่าสุขทุกข์ก็อยู่ที่ตัวเองแต่ละคน และบางคนในชีวิตก็มีแต่ความทุกข์ ที่เป็นความรู้สึกเศร้าหมอง ขุ่นเคือง ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต มีเหตุการณ์ความยุ่งยากต่างๆ โดยไม่รู้เหตุจริงๆ ว่าเหตุนั้นอยู่ที่ไหน และทุกข์ที่มีนั้นจะหมดสิ้นหรือบรรเทาไปได้อย่างไร แต่ทั้งหมดให้ทราบว่า ทุกอย่างสามารถจะละคลายได้ด้วยปัญญา แต่ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีความเห็นที่ถูกต้องแล้ว ไม่มีทางที่ใครจะหมดความทุกข์ได้อย่างแท้จริง