ธรรมทุกอย่างมีหลายระดับ


    เพราะฉะนั้นปัญญาจึงมีหลายขั้น คือ ปัญญาขั้นฟังให้เข้าใจก่อนว่า นี่คือธรรม เป็นของจริง เป็นสัจธรรม เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ ถ้าได้ยินไม่เกิดดับ ก็ไม่มีการพิสูจน์ แต่เพราะได้ยินขณะนี้เกิดดับ เห็นก็เกิดดับ คิดนึกก็เกิดดับ แต่ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรับความจริงเป็นขั้นๆ ว่า ปัญญาของเราเพียงแค่ฟัง ยังไม่สามารถไถ่ถอนความเป็นตัวตนได้ แต่มีหนทาง เพราะเหตุว่าเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสรู้ และทรงแสดงพระธรรมในสมัยโน้น ผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมตามที่พระองค์ทรงแสดงมีมาก มีพระอรหันต์ในสมัยนั้นมากมาย มีผู้มีปัญญายังไม่ถึงขั้นพระอรหันต์แต่รู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระโสดาบันบุคคล เป็นพระสกทาคามีบุคคล เป็นพระอนาคามีบุคคล เป็นพระอรหันต์มาก แต่ผู้ที่เป็นพระโสดาบันก็ยังมีมากกว่าผู้ที่เป็นพระสกทาคามี เพราะเหตุว่าต้องมีปัญญาสูงขึ้นตามลำดับ เพราะฉะนั้นผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ก็ต้องน้อยกว่า เพราะว่าเป็นปัญญาขั้นสูง

    แล้วพอมาถึงสมัยนี้ห่างไกลมา ๒,๕๐๐ กว่าปี การฟังพระธรรมก็น้อยมากหรือเกือบจะไม่มีเลย เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่เริ่มแสวงหา และสนใจอยากจะเข้าใจธรรม ก็จะต้องเป็นผู้มีทางเดียว คือ ฟังให้เข้าใจว่า ธรรมที่ได้ยินได้ฟังนั้นเป็นพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง หรือว่าเป็นเพียงธรรมที่ต่างคนต่างคิด แล้วพยายามมีข้อปฏิบัติซึ่งความจริงหนทางปฏิบัติในพระพุทธศาสนานั้น ต้องเป็นทางที่ทำให้เกิดปัญญา จะไปปฏิบัติแบบไหนอย่างไรก็ตาม จะไปนั่งสมาธิกี่วัน กี่เดือน กี่ปีก็ตาม ถ้าปัญญาไม่เกิดรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงซึ่งเป็นสัจธรรมในขณะนี้แล้วละก็ ไม่ใช่หนทางที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า เป็นหนทางที่จะดับกิเลส

    เพราะเหตุว่าการดับกิเลส กิเลสมีมากเหลือเกิน บางคนอาจจะบอกว่าไม่มี เคยมีคนที่บอกว่าเขาไม่มีกิเลส ไม่มีโลภะ วันหนึ่งๆ ก็เฉยๆ เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่า แท้ที่จริงพอลืมตาตื่นขึ้นมาก็มีความต้องการ มีความติดแล้ว จะทำสิ่งนั้นจะทำสิ่งนี้ ก่อนจะหลับก็คิดแล้วว่า พรุ่งนี้จะทำอะไร ก็เป็นเรื่องของความต้องการ เป็นเรื่องของความติดข้อง โดยผู้นั้นก็ไม่รู้ว่า นั่นเป็นสภาพที่เป็นโลภะ เป็นความติดข้อง เป็นความต้องการ เพราะฉะนั้นเขาคิดว่าเขาไม่มี เพราะเขาคิดว่าโลภะต้องเป็นขณะที่อยากจะได้อะไรอย่างมากๆ ทนไม่ได้ ต้องไปซื้อไปหา หรือไปทำขึ้นมา อะไรอย่างนี้

    แต่ความจริงให้ทราบว่า ธรรมทุกอย่างมีหลายระดับ ไฟที่ร้อน นิดหนึ่งก็ร้อน กองใหญ่ๆ ก็ร้อนมาก เพราะเหตุว่ามีจำนวนมากขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไฟแค่ไม้ขีดไฟนิดเดียว ไม่มีใครคิดว่าเป็นโทษ แต่พอไฟไหม้ ทุกคนก็บอกว่า ไฟนี้มีอันตรายมาก แต่ต้องเห็นความจริงว่า ไฟ จะอยู่ที่ไหนก็ตาม จะน้อยหรือจะมากก็ตาม เมื่อเป็นสภาพที่ร้อน ก็เป็นสภาพที่ร้อน หรือกลิ่นที่เหม็น ของปฏิกูล แม้ว่ามีเพียงนิดเดียว ปริมาณน้อยก็จริง แต่กลิ่นนั้นเปลี่ยนไม่ได้ คือ เหม็นก็คือเหม็น เพราะฉะนั้นเมื่อมีมาก อย่างผ่านกองขยะ ก็รู้สึกว่ากลิ่นรุนแรง แต่ถ้าย่อยลงมาจนกระทั่งเหลือปริมาณน้อย เราก็เปลี่ยนสภาพของกลิ่นนั้นไม่ได้

    นี่คือความจริงที่ว่า แม้โลภะ ถ้านิดๆ หน่อยๆ เราไม่เห็นโทษ ทุกคนอยู่ในทุกวัน ชอบโลภะมากเลย แต่ไม่ชอบชื่อ ถ้ามีใครบอกว่า คนนี้มีโลภะมาก ไม่ชอบเลย คล้ายๆ กับเป็นการดูถูกว่า แม้เป็นคนโลภโมโทสัน แต่ความจริงแล้วเขาพูดความจริง แต่เราไม่รู้เองว่า แท้ที่จริงแล้วทุกคนมีโลภะ แต่ถ้าเป็นโลภะที่เป็นปกติ ปกติจนไม่รู้สึกตัว ท่านเรียกว่า “สมโลภะ” หมายความว่าเป็นปกติ เกิดมานี่มีโลภะเป็นปกติ ตั้งแต่ลืมตาตื่น แม้แต่จะหวีผม แม้แต่ใช้สบู่ในห้องน้ำ ก็จะต้องเลือกที่พอใจ แม้แต่อาหารบนโต๊ะ ตอนเช้าก็ต้องเป็นอาหารที่ชอบ ไม่ว่าจะเช้าสายบ่ายเย็น จะทำอะไรทุกอย่าง ก็เป็นไปตามต้องการทั้งสิ้น


    หมายเลข 8041
    24 ส.ค. 2567