กองฝุ่นน่ะหรือคือ..เรา
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม คือ ความจริงให้เราเกิดปัญญา รู้จักตัวเรา แล้วจะรู้ได้ว่า ถ้าตราบใดที่ยังมีการยึดถือ ยังมีความติดข้อง เรื่องที่จะไปดับทุกข์ดับกิเลสนั้น เป็นอันว่าไม่มีทางเลย จนกว่าจะเห็นความเป็นอนัตตาว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นธรรม คือ เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ว่าไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงธาตุ หรือธรรมชาติ หรือสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ยังไม่ถึงขั้นประจักษ์การเกิดดับ
ลองย่อยตัวของเราออก ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า มีอากาศธาตุ มีช่องว่างแทรกคั่นอย่างละเอียดยิบ พร้อมที่จะตัดชิ้นส่วนชิ้นไหนออกได้หมด เอาไปแตกย่อยสับให้ละเอียดอย่างไรจนเป็นปรมาณูก็ได้ แม้แต่โต๊ะที่เห็นว่าแข็งแรง จับดูก็แข็ง หรือถ้าจะเป็นเหล็ก จะเป็นวัตถุที่เป็นรูป เราก็คิดว่า ไม่มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ แต่ว่าตามความจริงแล้วมีอากาศธาตุ คือ ช่องว่าง รูปที่ว่างแทรกคั่นอยู่ แตกทำลายได้ทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งที่เราเห็นว่า แข็งแรงมั่นคงสักเท่าไร ก็สามารถแตกย่อยได้
เพราะฉะนั้นรูปที่ว่าเป็นของเรา ลองพิจารณาดูแต่ละส่วนจริงๆ ถ้าสามารถจะแตกย่อย และตามความจริงของผู้ที่ตรัสรู้แล้ว ตรัสรู้ว่า กำลังแตกย่อย คือ เกิดดับ รูปร่างกายกำลังเกิดดับอยู่ทุกส่วน ทุกกลุ่ม เพราะว่าเมื่อย่อยออกไปแล้ว ส่วนที่เล็กที่สุดก็ไม่เที่ยง คือ เกิดขึ้นแล้วดับไป ถ้าตามทางวิชาการแพทย์ ก็คงไม่เป็นที่สงสัยว่ามีเซลล์อะไรที่เกิดดับ แล้วก็อาจจะมีอายุถึงเท่านั้นเท่านี้วัน แต่ตามพระพุทธศาสนาแล้ว รูปเกิดดับเร็วมาก แม้แต่ขณะที่เรากำลังนั่งอยู่ เราจะค่อยๆ มีรูปที่ทยอยกันเกิดดับ และบางรูปทำให้เกิดโรคต่างๆ ก็มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ตามอุณหภูมิ คือ ความเย็น ความร้อนในร่างกาย หรือบางทีรูปนั้นก็เกิดจากอาหาร ก็มีการทำให้เป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้
นี่ก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่า สิ่งซึ่งเรายึดถือว่าเป็นของเรา ถ้าจะมองในมุมที่กระจ่างขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ก็เหมือนกับกองของฝุ่นที่ละเอียดยิบ ซึ่งมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดติดกัน อย่างตากับหู จริงๆ แล้วก็ห่างกันพอสมควร ใช่ไหมคะ แล้วก็เป็นรูปซึ่งมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ด้วย และก็มีกรรมที่ทำให้เกิดจักขุปสาทที่สามารถรับกระทบกับสีที่กำลังปรากฏทางตา นี่เป็นรูปพิเศษรูปหนึ่งซึ่งไม่มีใครทำให้เกิดได้นอกจากกรรม เพราะเหตุว่าบางคนก็มีตาดี บางคนก็ตาบอด และสำหรับหูที่เรากำลังได้ยินในขณะนี้ ให้ทราบว่า ก็เป็นเพียงรูปซึ่งสามารถกระทบเสียง ซึ่งต้องเป็นกรรมอีกนั่นแหละที่ทำให้รูปนี้เกิด และรูปนี้เราไม่มีทางที่จะมองเห็นเลย ไม่มีใครเห็นจักขุปสาท ไม่มีใครเห็นโสตปสาท เพราะสิ่งที่มองเห็น คือ สีสันวัณณะต่างๆ ซึ่งเป็นรูปอีกชนิดหนึ่ง
นี่แสดงให้เห็นว่า ที่ตัวของเรา เรายังไม่รู้เลยว่า มีรูปกี่ชนิด แล้วก็รูปอะไรบ้าง และรูปแต่ละกลุ่ม แต่ละประเภทนั้นเกิดขึ้นเพราะกรรม หรือเกิดขึ้นเพราะจิต หรือเกิดขึ้นเพราะอุตุ หรือเกิดขึ้นเพราะอาหาร เต็มไปด้วยความไม่รู้แม้แต่ในเรื่องรูป แล้วก็มายึดถือว่า นี่คือเรา นี่คือตัวตน