ชีวิตแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ๆ
เมื่อกี้นี้พูดถึงเรื่องโลก ต่อไปนี้คงไม่มีใครสงสัยใช่ไหมคะ ถ้าได้ยินคำว่า “โลก” โลกในธรรม คือ สิ่งที่เกิดดับ ทุกอย่างที่เกิดดับ เพราะฉะนั้นคำนี้ถ้าจะทำพจนานุกรมในภาษาธรรมขึ้นมา เราก็จำไว้ได้เลยว่า “โลก คือ ธรรมที่เกิดดับ”
เพราะฉะนั้นถ้าดิฉันถามว่า ที่กำลังได้ยินในขณะนี้เป็นโลกหรือเปล่า จะตอบว่าอย่างไรคะ ต้องเป็น คือต้องตรง ความจริงคือความจริง เพราะอะไร เพราะเกิดขึ้นแล้วก็ดับหมดไป แล้วถ้าไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้น ไม่มีกาย คือ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย ไม่ลิ้มรสที่หวานที่เค็ม ไม่กระทบสัมผัสสิ่งที่อ่อนที่แข็ง ไม่คิดนึก จะมีโลกปรากฏไหมคะ ลองคิดดูซิคะ โลกนี้ก็ไม่ปรากฏเลย อย่างตอนที่หลับสนิท โลกก็ไม่ปรากฏ ใช่ไหมคะ แต่ว่าไม่เที่ยง ไม่มีใครที่หลับสนิทตลอดเวลา ต้องตื่น ใครก็ตามซึ่งเกิดมาแล้วบอกว่า ฉันจะไม่เห็น ไม่ได้ยิน พวกนี้ไม่ได้เลย เมื่อเกิดมามีปัจจัยให้เกิด ก็มีปัจจัยให้เห็น โดยที่เราไม่ทราบเลยว่า เห็นเป็นผลของกรรม ที่เราบอกว่า เกิดมารับกรรม เกิดมารับกรรม ให้ทราบว่ารับกรรมตั้งแต่เกิด คือ ขณะแรกที่เกิดจนกระทั่งถึงขณะตาย แม้ขณะที่จะตื่นหรือจะหลับ จะเห็น หรือจะได้ยิน ก็เป็นผลของกรรมทั้งสิ้น
นี่แสดงให้เห็นว่า คำพูดของเราไม่ใช่คำพูดลอยๆ ถ้าจะพูดเรื่องกรรมหรือผลของกรรม ก็ต้องรู้ว่าเมื่อไร ขณะไหน ถ้าบอกว่าเกิดมารับผลของกรรม เป็นผลของกรรม ก็ต้องรู้ว่า เพราะกรรมจึงเกิด ถ้าหมดกรรมก็ไม่ต้องเกิด พระอรหันต์ก็ไม่ต้องเกิด
เพราะฉะนั้นการเกิดจำแนกเราให้ต่างกัน เรามีรูปร่างหน้าตาต่างกัน เกิดที่ประเทศต่างๆ กันทั่วโลก มีผิวพรรณวัณณะต่างกัน และชาติตระกูลต่างกัน ญาติพี่น้องต่างกัน แล้วทำให้เห็นได้ยินสิ่งต่างๆ ต่างกัน แล้วไม่ว่าจะตื่นหรือจะหลับ จะเป็นหรือจะตาย ก็เป็นเพราะกรรมทั้งสิ้น
ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่จะตาย ทำอย่างไรก็ไม่ตาย เพราะว่ากรรมยังทำให้เราต้องเห็นอยู่ ถ้าเราอยากจะหลับ แต่กรรมทำให้เราต้องกระทบกับเสียงที่น่ากลัว ฟ้าร้อง หรือเสียงสุนัขเห่า หรืออะไรก็ตามแต่ ก็แสดงว่าเป็นผลของกรรมที่จะต้องได้ยินอย่างนั้น จึงหลับไม่ได้ แต่เมื่อหลับไปแล้ว จะตื่นเร็ว คือ ตื่นก็เห็นอีก ได้ยินอีก ก็เพราะกรรมอีก
เพราะฉะนั้นให้ทราบเรื่องการรับผลของกรรม หรือเป็นผลของกรรม คือ ตั้งแต่เกิดจนตาย และระหว่างเกิดจนตายก็มีการเห็น การได้ยิน ฯลฯ ขณะนั้นก็เป็นผลของกรรม แต่ให้ทราบว่า หลังจากเห็นทันทีเกิดชอบ ไม่ชอบ เกิดดีใจ เกิดเสียใจ เกิดต้องการ เกิดเมตตา เกิดกรุณา ฯลฯ ไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นกรรมใหม่ที่จะทำให้เกิดผลข้างหน้า
เพราะฉะนั้นชีวิตของเรา ถ้าแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ๆ ก็คือ ขณะที่เป็นผลของกรรมส่วนหนึ่ง กับขณะที่เป็นกรรมที่จะให้เกิดผลข้างหน้าอีกส่วนหนึ่ง
เพราะฉะนั้นบางคนเห็น เห็นสิ่งเดียวกัน คนหนึ่งไม่ชอบ โกรธ อีกคนหนึ่งมีเมตตา เป็นไปได้ไหมคะ
นี่แสดงให้เห็นว่า กรรมทำให้เห็นเหมือนกัน แต่จิตที่สะสมมาต่างกัน คือ คนหนึ่งเห็นแล้วก็โกรธ ไม่ชอบกิริยาอาการอย่างนั้น แต่อีกคนหนึ่งแล้วก็มีเมตตา มีกรุณาว่า เป็นเรื่องที่คนกำลังโกรธก็แสดงกิริยาอาการอย่างนั้น หรือคนที่ไม่รู้ธรรม ก็คิดอย่างนั้น เข้าใจอย่างนั้น เห็นผิดเป็นชอบก็ได้
นี่แสดงให้เห็นถึงว่า หลังจากที่เป็นผลของกรรม คือ เห็นแล้ว ต่อจากนั้นไม่ใช่เรื่องของผลของกรรมแล้ว เป็นเรื่องของกรรมใหม่ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า