ธรรมมีกิจการงานของตน ๑


    ผู้ฟัง ถ้าเข้าใจว่า จิตที่สงบทำให้เป็นสุข เราจะมีวิธีทำจิตให้สงบได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ อนัตตาคืออะไรคะ ต้องกลับมาหาธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าคำสอนของพระพุทธศาสนาที่ต่างจากศาสนาอื่นก็คือ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนเรื่องอนัตตา ไม่มีสภาพธรรมใดที่เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลแท้ๆ เป็นแต่สภาพธรรมแต่ละอย่าง แตกย่อยทุกอย่างออกได้ คือ รูปก็แตกย่อยออกไปละเอียดยิบ เป็นรูปแต่ละลักษณะ แตกย่อยจิตออกเป็นแต่ละขณะซึ่งเกิดดับเร็วยิ่งกว่ารูป แล้วมีจิตหลายประเภทด้วย เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่าไม่มีตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพของจิตแต่ละชนิด ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาสอนให้เกิดปัญญา เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ที่ใช้คำว่า “สัจธรรม” หมายความถึงสิ่งที่มีจริง “สัจจะ” คือจริง พระผู้มีพระภาคไม่ได้ให้เราไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้น ขณะนี้เห็น จริง เป็นเราหรือเปล่า เมื่อไม่ใช่ตัวตนเป็นอะไร เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยอย่างไร ทรงแสดงไว้โดยละเอียด

    เพราะฉะนั้นปัญญารู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ให้เรามีตัวตนที่จะไปบังคับ หรือไปทำ โดยไม่ใช่ปัญญาที่รู้ว่า ธรรม แม้แต่ความโกรธ ไม่มีใครชอบเลย ไม่มีใครอยากโกรธ แต่โกรธก็เกิด พอเกิดแล้ว โทษของความโกรธคืออะไร เผาคนที่กำลังโกรธนั่นเองให้ร้อนก่อนคนอื่นที่จะถูกโกรธ คนที่ถูกโกรธกำลังหัวเราะสะดวกสบาย ดูหนัง ดูละคร กำลังเล่นเทนนิส หรืออะไรก็ได้ แต่คนที่กำลังโกรธร้อนมาก หมายความว่าไม่มีความสุขเลย ถึงแม้ว่าอาหารจะอร่อย ทุกอย่างดีเพียบพร้อม แต่พอความโกรธเกิดขึ้น ปฏิเสธอารมณ์นั้นทั้งหมด มีความขุ่นเคืองมีความขัดใจสารพัดอย่าง อาจจะมีความผูกโกรธ หรือว่ามีความพยาบาท ถ้าโกรธเกิดขึ้นแล้วหน้าที่อย่างนั้น ใครจะไปเปลี่ยนความโกรธให้เป็นเมตตาก็ไม่ได้ หรือเวลาที่โลภะ ความต้องการ ความติดข้องเกิดขึ้น เกิดขณะใดเขาต้องพอใจ ต้องติดข้อง ไม่ว่าจะเป็นรูปที่ปรากฏทางตา หรือเสียงที่ปรากฏทางหู หรือกลิ่นที่ปรากฏทางจมูก อย่างคนที่ชอบน้ำหอม เราจะไปบอกเขาว่า อย่าไปซื้อแพงๆ หรืออย่าไปติดเลย เขาก็ไม่ยอม สำหรับเขามันหอม และยังต้องการ แต่คนที่เห็นว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย ไร้สาระหรือไม่ควรจะติด เพราะเหตุว่าทางตาเราก็ติดมากๆ เลย ต้องมีรูปสวยๆ ทางหูเราก็ติดเยอะๆ ต้องมีเสียงเพราะๆ และทางลิ้น ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ต้องชอบอาหารที่มีรสอร่อย ก็ติดไปแล้ว ๓ ทาง แล้วทางกายอีก แล้วยังต้องมาติดทางจมูกอีก ก็ติดมากหมดเลยทุกทาง มีทางไหนที่จะหย่อน จะคลาย จะบรรเทาลงไปบ้างไหม ถ้าเราไม่เริ่มตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เมื่อไรเราจะเริ่มได้

    นี่ก็เป็นแต่เพียงคำสอนทั่วๆ ไปซึ่งไม่ใช่การดับกิเลส ถ้าดับกิเลสแล้วต้องด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราจะไปบังคับธรรม หรือไม่ใช่ไปต้องการอะไร ก็ให้ได้อย่างนั้น แต่ถ้าเรารู้ว่า สภาพธรรมทุกอย่างมีกิจการงาน มีกิจหน้าที่เฉพาะของธรรมแต่ละอย่าง เช่น โทสะเกิดขึ้นมีลักษณะที่หยาบกระด้าง คนที่โกรธขึ้นมา จะหมดความอ่อนละมุนละไม ความอ่อนโยนที่เป็นลักษณะที่ดี แต่จะมีความหยาบกระด้าง ตา กิริยา คำพูดแข็ง เสียงแข็ง ทุกอย่างเป็นลักษณะอาการของความโกรธ เพราะว่าเมื่อโกรธเกิดขึ้นต้องมีลักษณะอย่างนั้น ต้องมีกิจการงานอย่างนั้น แล้วก็มีเหตุใกล้ที่จะให้เป็นไปอย่างนั้นด้วย ไม่มีสามารถจะไปเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างได้

    เพราะฉะนั้นก็ให้ทราบถึงความเป็นอนัตตาว่า

    ถ้าเป็นปัญญา คือ ความรู้ที่ถูกต้องในสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน จะไม่มีการพยายามด้วยความเป็นเรา เพราะว่าถ้าทำได้ก็เก่ง มีความมานะ มีความเป็นตัวตนขึ้นมาแล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่มีทางที่จะหมดกิเลสได้เลย


    หมายเลข 8051
    24 ส.ค. 2567