เป็นธรรมโดยไม่ต้องเรียกชื่อ
จริงๆ เราคุ้นเคยกับชื่อมากเลย พอพูดถึงชื่อ ไม่สงสัยเลย แต่ตัวธรรมที่ไม่มีชื่อ แล้วรู้ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างๆ โดยไม่ต้องมีชื่อ ก็ต้องอีกนาน เพราะเหตุว่าเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมานานมาก โดยไม่ต้องเรียกชื่อเลย พอเห็นจำได้ทันที อย่างคุณอรรณพ พอเห็นก็จำได้ทันที ไม่ต้องเรียกคุณอรรณพก็ได้ เห็นดอกกุหลาบ ไม่ต้องเรียกกุหลาบ จำได้ เห็นดอกบัว ไม่ต้องเรียกชื่อ จำได้
เห็นไหมคะว่า เราจำความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่ต้องเรียกชื่อ เพราะฉะนั้นที่จะจำว่า เป็นธรรม โดยไม่ต้องนึกถึงชื่อ นั่นคือการเริ่มที่จะเห็นว่า ทุกอย่างเป็นธรรม เพราะเหตุว่าสามารถจำได้ทันที เข้าใจทันที โดยไม่ต้องเรียกชื่อ
เพราะฉะนั้นการฟังธรรมจึงต้องละเอียด และสามารถรู้ความต่างที่เคยเป็นมาแล้ว คือ ความเป็นตัวตน แต่ที่กำลังค่อยๆ สะสม คือ การฟังให้เข้าใจจนกว่าจะรู้จักธรรมโดยไม่ต้องเรียกชื่อ เหมือนเห็นอย่างนี้ชั่วขณะที่สีปรากฏ ก็จริงใช่ไหมคะ ขณะนั้นคือเห็น ขณะที่มีเสียงปรากฏ ชั่วขณะที่เสียงปรากฏ คือ ได้ยิน แต่ไม่ต้องไปพูดอย่างนี้ หรือคิดอย่างนี้ แต่ขั้นต้นๆ อดคิดไม่ได้ เพราะว่าเป็นเรื่องเป็นราวที่จำเรื่องราวมามาก แต่เปรียบเทียบให้เห็นว่า ปัญญาที่สมบูรณ์ที่สามารถรู้จักธรรมจริงๆ โดยไม่ต้องเอ่ยถึงชื่อเลย ก็เหมือนกับการที่เรารู้จักสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยไม่ต้องเรียกชื่อ
จากการที่เคยฟังว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แต่ก่อนไม่เคยรู้ตรงแข็ง แต่ทำไมขณะนั้นตรงแข็ง มีแข็ง ขณะนั้นจริงๆ แล้วไม่มีอย่างอื่นเลย ปัญญายังไม่พอที่จะเข้าใจความเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นปรากฏเพียงเล็กน้อย แล้วไม่มีชื่อด้วย แต่เป็นธรรมแต่ละอย่างๆ เป็นธรรมจริงๆ
เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ สะสม สังขารขันธ์ขณะนี้ก็เป็นสังขารขันธ์ ไม่ใช่เรา กำลังทำหน้าที่ของเจตสิกแต่ละประเภท แม้แต่มนสิการเจตสิก ที่เราชอบใช้คำว่า โยนิโส โยนิโส เรียกแต่ชื่อ แต่ความจริงเวลาที่ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก หรือกุศลเกิดเมื่อไร ไม่ใช่เรา แต่เราไปเรียกชื่อเขาว่า โยนิโสมนสิการ
เพราะฉะนั้นทั้งหมดเป็นเพียงชื่อ เพราะฟังจนกว่าลักษณะแต่ละลักษณะไม่ใช่เพียงชื่อ แต่เป็นความเข้าใจลักษณะนั้นว่า เป็นธรรม
นี่คือการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้จักธรรมจริงๆ และเป็นปกติด้วย ไม่ต้องไปหวัง ไปคอยอะไรเลย เพียงเข้าใจ สำคัญที่สุด คือ เข้าใจสิ่งที่มีตรงตามความเป็นจริง