ปัญญาทางธรรมต่างกับปัญญาทางโลก
ท่านอาจารย์ อย่างปัญญารู้อะไร ปัญญาในพระพุทธศาสนา ถ้าคนนั้นทำมาหากินเก่ง วาดรูปสวย เย็บปักถักร้อย ทำอาหารอร่อย มีปัญญาหรือเปล่าคะ มีปัญญาไหมคะ
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลยค่ะ นี่ไม่ใช่ปัญญาในพระพุทธศาสนา คนไหนเรียนจบปริญญาเอกมาทำอะไรได้ ก่อสร้างตึกสูงกี่ชั้น สถาปนิกสวยงาม อะไรก็ตามแต่ ไม่ใช่ปัญญาในพระพุทธศาสนาเลย ถ้า ปัญญาในพระพุทธศาสนา หมายความว่า รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น จึงจะชื่อว่า ปัญญา
เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า เราอยู่ในโลกมืดเหมือนคนตาบอด ถ้าไม่ได้รับแสงสว่าง คือ พระธรรม ไม่มีทางที่เราจะรู้จักโลก รู้จักตัวเอง รู้จักทุกอย่างตามความเป็นจริง ต่อเมื่อใดที่เราเริ่มฟังพระธรรม เมื่อนั้นเราจะถึงจะรู้จักว่า ขณะนี้เป็นสภาพธรรมอะไร เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ แล้วก็สามารถส่องละเอียดไปจนกระทั่งถึงว่า แม้เพียงขณะจิตขณะเดียวที่เกิดขึ้น มีสภาพธรรมอะไรบ้างที่เกิดร่วมกับจิตนั้น เพราะเหตุว่าเวลาเห็นแล้วคิดนึก คิดดีก็ได้ คิดไม่ดีก็ได้ เพราะฉะนั้นธรรมที่เป็นอกุศลก็ได้ ธรรมที่เป็นกุศลก็ได้ ขณะใดที่เราคิดแล้วเราโกรธ ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมประเภทอกุศลธรรม คือ ธรรมที่ไม่ดีงาม ขณะใดที่เราคิดแล้วไม่โกรธ ขณะนั้นก็เป็นสภาพธรรมประเภทดี
เพราะฉะนั้นก็ไม่มีเรา วันหนึ่งๆ ก็อ่านออกว่ามีสภาพธรรมที่ดีบ้าง มีสภาพธรรมที่ไม่ดีบ้าง แล้วไม่ใช่เรา คนอื่นก็เหมือนกัน เขาอย่างไรเราก็อย่างนั้น โลภะ ความติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใดของเรา ก็เหมือนกับโลภะ ความติดข้องของคนอื่น เราชอบอาหารอร่อย คนอื่นก็ชอบอาหารอร่อย เราชอบเสียงเพราะ คนอื่นก็ชอบเสียงเพราะ เราชอบสิ่งที่สวยๆ งามๆ คนอื่นก็ชอบสิ่งที่สวยๆ งามๆ
เพราะฉะนั้นเราก็อ่านใจคนอื่นทะลุปรุโปร่งเหมือนกันว่า เขาชอบอะไร ทุกคนชอบความสุข ไม่ชอบความทุกข์ แต่ที่เรามีความสามารถทำอะไรต่างๆ ไม่ใช่ปัญญา ต้องทราบว่า ต้องแยกออกให้ละเอียดกว่านั้น ที่เราเคยคิดว่า คนนั้นฉลาด คนนั้นเก่ง ใช้คำนี้ได้ในภาษาไทย ฉลาดก็ได้ เก่งก็ได้ แต่ไม่ใช่ตัวปัญญาจริงๆ ไม่ใช่สภาพธรรมที่เป็นปัญญา