คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องบุญ


    ขณะที่กำลังสวดมนต์เป็นสมาธิหรือเปล่า เป็น เป็นสัมมาสมาธิหรือมิจฉาสมาธิ ส่วนใหญ่เป็นสัมมาสมาธิ แต่บางครั้งแทรกนิดๆ กำลังสวดๆ นึกถึงอะไรก็ได้ แว๊บไปแว๊บมาขณะใดก็เป็นมิจฉาสมาธิขณะนั้น สลับกันค่ะ

    นี่คือความรวดเร็วของจิต ซึ่งเป็นผู้ตรงที่จะต้องรู้ว่า กุศลคือกุศล อกุศลคืออกุศล เพราะฉะนั้นเราจะบอกไม่ได้เลยว่า ขณะที่เรากำลังทำบุญ กุศลจิตเกิดตลอด ผิด ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดจะรู้เลยว่า ขณะไหนเป็นกุศล ขณะไหนเป็นอกุศล

    แล้วกุศลจิต อยากได้ หรือควรเป็น มี ๒ คำ หมายความถึงกุศล พอพูดถึงกุศล กุศลนี่ดี อยากได้ หรือควรเป็น ควรเป็นกุศล แต่คนส่วนมากไม่ทราบ คนส่วนมากจะอยากได้กุศล พอทราบว่า ทำกุศลอย่างไหนจะได้บุญมาก ได้ผลมาก เขาจะทำ แต่เขาลืมว่า นั่นเป็นอกุศล ที่อยากได้กุศลนั่นแหละเป็นอกุศล เพราะว่าอยากได้ ติดข้อง แต่กุศลจริงๆ หมายความถึงสภาพจิตที่ดีงาม อย่าลืมคำนี้เลย มิฉะนั้นแล้วเราจะเข้าใจผิด จิตของเราตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ ถ้าเราไม่ได้ฟังพระธรรม เราไม่รู้เลยว่า เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ทันทีที่ลืมตาจะทำอะไร นึกขึ้นมาแล้ว ติดข้องในสิ่งที่จะทำ เข้าห้องน้ำ ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ปรุงอาหารอร่อย แม้แต่รับประทานก็ต้องเติมน้ำปลาพริกบ้าง ใช่ไหมคะ โลภะทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้นถ้าขณะใดที่ไม่เป็นกุศล ขณะนั้นเป็นอกุศล วันนี้เทียบส่วน ขณะที่นั่งฟังธรรมนี่เป็นกุศลนับไม่ถ้วนเหมือนกัน กี่ชั่วโมง นาที ก็แล้วแต่ แต่ก่อนหน้านั้น และหลังนี้เป็นอะไร ก็ต้องเป็นอกุศลอีก

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า จิตใจของเราเศร้าหมอง ที่ใช้คำว่า “เศร้าหมอง” ทีนี้ หมายความว่า ไม่สะอาด สกปรก เต็มไปด้วยอกุศล

    เพราะฉะนั้นถ้าจิตใจของเราว่างเว้น หรือปราศจากอกุศลบ้างในวันหนึ่งๆ ขณะนั้นเรากำลังสะสมสิ่งที่ดี เป็นกุศล เพราะฉะนั้นเวลาพูดว่า อย่างนี้จะได้บุญมากไหม แสดงให้เห็นแล้วว่า คนนั้นเป็นโลภะ เป็นความต้องการ แต่ถ้าเราทำกุศลแล้วเรารู้ว่า ใจของเราไม่ปรารถนา หรือไม่ติดข้อง ไม่ต้องการอะไรเลยที่จะเป็นการตอบแทน จิตของเราเบาสบาย สะอาดจริงๆ ขณะนั้นเป็นกุศลมาก ไม่ใช่ได้บุญมากนะคะ อย่าลืม เพราะโดยมากเราจะไปได้บุญมากไหม แต่ความจริงแล้วจิตของเราในขณะที่ไม่ปรารถนาสิ่งใดตอบแทนนั้นเป็นกุศลอย่างมาก ผ่องใส สะอาด เพราะฉะนั้นผลมาก แต่ก็ไม่ใช่ให้ไปติดในผลอีก ใช่ไหมคะ

    พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมโดยเหตุโดยผล ถ้าจิตใจผ่องแผ้วสะอาดจากอกุศลเท่าไร ก็เป็นกุศลเท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเหตุดีเท่าไร ผลก็ต้องมากเท่านั้น แสดงเหตุผลตามความเป็นจริง แต่คนส่วนมากไม่เข้าใจ ไม่ได้บอกอย่างนี้ว่า จุดมุ่งคือให้จิตไม่เป็นอกุศล แต่จุดมุ่งของคนทั่วๆ ไปบอกให้เขาทำบุญ เพื่อเขาจะได้ผลบุญ นี่ก็กลายเป็นลบกุศลที่ทำแล้ว เพราะว่าไปติดข้องในผลที่จะได้รับ

    เพราะฉะนั้นเรารู้ว่า จิตใจของเราเต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ เพราะฉะนั้นเราทำกุศลทุกอย่างเพื่อที่จะให้โลภะ โทสะของเราน้อยลง ถ้าโลภะ โทสะ ของเราน้อยลง เราจะเป็นคนที่มีความเบาสบายมาก ไม่เดือดร้อน ไม่ติดข้องในสิ่งที่เราจะต้องไปขวนขวายหามา แล้วกว่าจะได้มาก็แสนจะลำบาก บางทีลำบากมากเลย ต้องเดินทางไปถึงต่างจังหวัด ขึ้นเขาลงห้วย กว่าจะได้เพชรน้ำใสๆ มาสักเม็ดหนึ่ง ก็เป็นเรื่องซึ่งถ้าไม่เป็นอย่างนั้นจะสบายกว่า แต่เพราะไม่รู้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่จะทำให้สบายจริงๆ


    หมายเลข 8093
    24 ส.ค. 2567