สภาพเห็นเป็นธรรมอย่างไร
คุณศุกล เดี๋ยวนี้สภาพธรรมกำลังปรากฏ ลืมตามองเห็น สิ่งที่เป็นธรรมทางตาขณะนี้ ไม่ทราบจะบอกว่าอย่างไรดีครับ
ท่านอาจารย์ จะบอกว่าอย่างไรคะ
คุณศุกล ที่ว่าเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ หมายความว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรมอย่างไร
เป็นของจริง มองเห็นด้วย แล้วจะไม่ใช่ธรรมอย่างไร เพราะเหตุว่าธรรมหมายถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ไม่ต้องไปนึก ไม่ต้องไปฝัน ไม่ต้องค้นคิด แต่มีลักษณะที่ปรากฏให้รู้ได้ ขณะนี้ในห้องนี้ หรือที่ไหนก็ตามแต่ นอกห้อง ทะลุกระจกไปก็ได้ ลืมตาแล้ว มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ใครจะยับยั้งไม่ให้สิ่งนี้ปรากฏก็ไม่ได้ นี่คือของจริง
เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า ธรรมเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ง่าย ถ้าจะให้เข้าใจถูกจริงๆ เพราะเหตุว่าต้องฟังมาก และต้องพิจารณาด้วย นี่เพียงขั้นที่บอกว่า ธรรม หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ทุกคนก็รับรองว่า ต้องมีลักษณะซึ่งมีจริงๆ ให้พิสูจน์ได้ ไม่อย่างนั้นเราก็พูดเรื่องเลื่อนลอย มาพูดเรื่องธรรม แล้วไม่มีอะไรให้รู้สักอย่างหนึ่ง ก็กลายเป็นพูดเรื่องเลื่อนลอยไป แต่นี่ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอย เป็นเรื่องของที่มีจริงๆ แต่สิ่งที่มีจริงๆ เราใช้คำว่า “ธรรม” ได้ เพราะเหตุว่าไม่ใช่ของหลอก แต่ว่าเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แต่อวิชชาไม่สามารถจะรู้ความจริงได้
นี่แสดงให้เห็นว่า วิชชากับอวิชชาต่างกันไกลแสนไกล เพราะเหตุว่าแม้ธรรมปรากฏ อวิชชาก็รู้ไม่ได้ รู้ไม่ได้จริงๆ ว่านี่เป็นธรรม แต่ถ้าเป็นปัญญา จะไม่มีความสงสัยเลยว่า ชั่วขณะที่ตาลืมขึ้นมา มีจิตใจ ไม่ใช่คนตาย ต้องมีสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นมีสภาพเห็น เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ชนิดหนึ่ง
นี่เป็นเรื่องที่เราเกิดมาก็เห็น ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ไม่รู้ความจริง เห็นก็เห็นไปชาติหนึ่ง แต่ไม่รู้เลยว่า ธรรมอยู่ที่ไหน ธรรมคืออะไร แต่ถ้าค่อยๆ ฟังจะรู้ได้ว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีใครเกิด แต่มีธรรมเกิด และที่เรียกว่า “เห็น” ก็เป็นธรรม ได้ยินก็เป็นธรรม ได้กลิ่น ลิ้มรส คิดนึกก็เป็นธรรม และธรรมนั่นแหละตาย เป็นสมมติมรณะ เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้ว สภาพธรรมก็คือจิต เจตสิก รูป ซึ่งกำลังเกิดดับ ก็เป็นเรื่องยาว เป็นเรื่องที่จะต้องฟังอีกหลายๆ ครั้ง แล้วก็ค่อยๆ พิจารณาจนกระทั่งสามารถเข้าใจในลักษณะของสภาพที่กำลังเห็นในขณะนี้จริงๆ
ก็เป็นการดีที่เราจะพูดเรื่องการเห็น เพราะว่าเห็นอยู่ แล้วก็ไม่รู้ ใช่ไหมคะ ถึงจะรู้ก็รู้โดยฟัง แค่ฟังมาเท่านั้นเองว่า เห็นเป็นสิ่งที่มีจริง และเห็นก็มีจริงๆ และก็ฟังมาว่า เห็นเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ยังไม่รู้ตามที่บอกว่า ไม่ใช่ตัวตนที่เห็น และถ้าไม่ใช่ตัวตนแล้วเห็นเป็นอะไร ก็เป็นธาตุ หรือเป็นสภาพชนิดหนึ่ง ซึ่งต่างกับธาตุชนิดอื่น ถ้าเป็นธาตุอื่นก็อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ร้อนบ้าง หวานบ้าง เค็มบ้าง โกรธบ้าง โลภบ้าง นั่นเป็นแต่ละธาตุ แต่ธาตุชนิดนี้จะไม่ทำหน้าที่อื่นเลย นอกจากเห็นอย่างเดียว ในขณะนี้เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งถ้าจะกล่าวว่า อยู่ที่ตัวของแต่ละคน เพราะว่าปัญญายังไม่สามารถแยกสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อกันอย่างละเอียดจนกระทั่งไม่มีตัวตนออกได้
เพราะฉะนั้นเวลานี้ก็จะกล่าวกว้างๆ ว่า เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเราเคยยึดถือว่าเป็นเรา และอยู่ที่ตัวเราด้วย แต่ความจริงแล้วก็เป็นธาตุเห็น เหมือนกับธาตุไฟ ธาตุอ่อน ธาตุแข็ง แต่ว่าธาตุชนิดนี้เป็นธาตุรู้ และธาตุรู้นี้ทุกคนมี เป็นจิต และเจตสิกซึ่งใช้คำว่า “นามธาตุ” หรือ “นามธรรม”
ก็เริ่มเข้าใจตัวเองว่า ที่เคยเป็นตัวตนก็คือธาตุ แม้แต่กำลังเห็นก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง