มีอะไรบ้างที่ไม่ใช่ธรรม


    ใครยังคิดว่า ไม่เข้าใจเรื่องธรรมบ้าง คำว่า “ธรรม”

    ความโกรธเป็นธรรมหรือเปล่าคะ เป็น ความสุข เป็น กลิ่น เป็น

    วันนี้เป็นอะไรบ้างที่ไม่ใช่ธรรม ไม่มีหรือคะ ความคิดเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น

    เราตั้งต้นด้วยธรรม คือ สิ่งที่มีจริง แล้วธรรมจะแตกกระจายออกไปว่า สิ่งที่มีจริงนั้นมีอะไรบ้าง

    ถ้าเราพูดถึงคำว่า “โลก” หรือ “โลกะ” หมายความถึงสภาพธรรมที่แตกดับ คือ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทุกอย่างที่เกิดแล้วดับเป็นโลกทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นที่เราพูดเมื่อกี้นี้ เสียงเป็นโลกไหม เพราะว่าเกิดขึ้นแล้วดับไป เพราะฉะนั้นทุกอย่างถึงเป็นธรรมก็ตาม แต่ธรรมใดก็ตามซึ่งเกิดแล้วดับ ธรรมนั้นเป็นโลก เพราะว่าเป็นสภาพที่แตกดับ เพื่อที่เราจะได้แยกสภาพธรรมว่ามี ๒ อย่าง สภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็หมดไปเป็นโลก กับสภาพธรรมที่ไม่เกิด ไม่ดับ เหนือโลก คือ เหนือการเกิดดับ คือ โลกุตตระ

    เพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึงคำว่า “โลก” จะมีอีกคำหนึ่งที่คู่กัน คือ “โลกุตตระ” โลกกับเหนือโลก ถ้าโลก ก็ได้แก่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด ธรรมที่เกิดทั้งหมดเป็นโลก ถ้าเกิดก็ต้องดับ ส่วนธรรมที่ไม่เกิดก็มีอย่างเดียว คือ นิพพาน เพราะฉะนั้นนิพพานนั้นเหนือโลก แต่ก็เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นก็จะมีการจำแนกแยกธรรมออกเป็น ๒ อย่างอีก คือ ธรรมที่เป็นโลก กับธรรมที่เป็นโลกุตตระ หรือธรรมที่เป็นสังขารธรรม สังขตธรรม กับธรรมที่เป็นวิสังขารธรรม กับอสังขตธรรม

    นี่จะมีคำภาษาบาลีเข้ามาเกี่ยวข้องทีละเล็กทีละน้อย ไม่มาก แล้วถ้าเราเข้าใจคำภาษาบาลีแล้วก็ง่าย คือ เราไม่ต้องพูดคำยาวๆ คือ สภาพธรรมใดก็ตามที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย อย่างได้ยินเกิดขึ้น เมื่อกี้นี้ไม่มี แล้วก็มี แล้วก็กลับไม่มีอีก

    นี่คือสภาพธรรมที่เป็นโลก เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ เป็นสังขารธรรม และเป็นสังขตธรรม แต่เป็นธรรมประเภทที่มีปัจจัยปรุงแต่ง เกิดแล้วก็ดับ ไม่เที่ยง จึงเป็นสังขตะ หรือสังขารธรรม ส่วนนิพพานนั้นก็เป็นวิสังขาร ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มีการเกิดขึ้น เป็นอสังขตะ

    เมื่อแยกคำว่า “ธรรม” จำแนกออกไปเป็นหลายประเภท แต่ว่าจำแนกเป็น โลก กับ โลกุตตระ โลกียะกับโลกุตตระ

    ไม่ทราบมีคำถามบ้างหรือเปล่าคะ ตอนนี้

    จะค่อยๆ เพิ่มคำว่า “ธรรม” ออกไป จาก สัจธรรม แล้วก็มาถึงปรมัตถธรรม ธรรมที่มีจริงๆ และมีลักษณะเฉพาะของตน

    เพราะฉะนั้นเมื่อกี้ที่ถามว่า คิด เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เป็นปรมัตถธรรม เป็นธรรมที่มี่จริงๆ เพราะทุกคนคิด เป็นจิตชนิดหนึ่ง โต๊ะ เก้าอี้คิดไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นลักษณะที่คิดเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นนามธรรม ส่วนเรื่องราวที่คิด ไม่มีจริง เป็นแต่เพียงความจำสิ่งต่างๆ ที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย เท่านั้น เพราะฉะนั้นเรื่องราวต่างๆ เป็นการจำเสียง จำสิ่งที่ปรากฏ อย่างเวลาที่เรานึก ไม่นึกถึงคำก็ได้ นึกถึงรูปร่างก็ได้ จะนึกถึงประเทศหรือเมืองที่เราเพิ่งไปเที่ยว ไปพบ ไปเห็นวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นก็คือคิด เพราะว่าขณะนั้นเราไม่ได้เห็นจริงๆ แต่เรานึก หรือคิดขึ้นมาจากความทรงจำ

    เพราะฉะนั้นจิตที่คิดนี่มี แต่เรื่องที่กำลังคิด ไม่มีจริงๆ หรือจะคิดถึงเสียง เราเคยได้ยินได้ฟังคำว่า “อรหัง สัมมา สัมพุทโธ” เราคิดตามได้ ขณะนั้นไม่มีตัวจริงๆ เสียงจริงๆ แต่ว่ามีจิตที่คิดถึงเสียงที่เคยได้ยิน

    เพราะฉะนั้นต้องแยกออก ชีวิตประจำวันต้องเริ่มจากอะไรเป็นของจริง และอะไรไม่จริง เพื่อที่จะได้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เป็นปรมัตถธรรม แต่ส่วนที่ไม่มีจริงนั้นเป็นความทรงจำ เป็นบัญญัติเรื่องราวต่างๆ

    นี่ก็แตกจากธรรม มาเป็นปรมัตถธรรม แล้วก็มาเป็นบัญญัติ

    การฟังธรรมถึงต้องฟังแล้วก็พิจารณาไป ค่อยๆ เข้าใจขึ้น อย่าท้อถอย ต้องมีความอดทน อดทนที่จะฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีอยู่ และปรากฏในขณะนี้


    หมายเลข 8127
    24 ส.ค. 2567