ชอบความจริงหรือชอบความลวง
ชีวิตก็เหมือนกับการหลับสนิท ตื่นชั่วคราวเพื่อเห็น ตื่นชั่วคราวเพื่อได้ยิน เพื่อคิดนึก แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้เข้าใจความจริงอย่างนี้ ก็เข้าใจว่ามีตัวตน มีเรา คิดว่าจะทำอย่างนั้นก็ได้อย่างนี้ก็ได้ ซึ่งตามความจริงแล้วก็คือว่า แม้แต่ตาย และเกิด ใครเลือกได้ ใครทำได้ อย่างตายเดียวนี้ทำอย่างไร ทำได้ไหม หรือว่าเกิดมาแล้ว จะให้เกิดเป็นอย่างไรต่อไป ทำได้ไหม ก็ไม่ได้ แต่สามารถที่เข้าใจความจริงว่า ความจริงคือว่ามีแต่ธรรม ซึ่งเป็นธาตุแต่ละอย่างซึ่งละเอียดมาก หลากหลาย เกินที่จะกล่าวถึงได้ เพราะแม้แต่ขณะนี้ เหมือนกับว่าในห้องนี้มีคนมากแต่ละหนึ่งๆ แต่ละหนึ่งก็ยังแยกเป็นอีกแต่ละหนี่งขณะจิต และแต่ละหนึ่งของรูปซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจอะไรเลย ก็จะต้องมีการเกิดอีก เหมือนที่เกิดมาแล้วในชาตินี้ และจะต้องมีสุขมีทุกข์เหมือนที่กำลังมีในชาตินี้ไม่จบสิ้น เพราะฉะนั้นการที่สามารถเข้าใจความจริงไม่ได้เสียอะไรเลยรู้อะไรก็รู้ได้ แต่สิ่งที่รู้มาทั้งหมดนะจริงหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นแม้แต่ขณะนี้ จะพูดถึงคำอะไรก็ตามแต่เข้าใจคำนั้นจริงๆ หรือเปล่า พูดแต่ไม่รู้ว่าหมายความถึงอะไร เช่นขณะนี้มีจิตเห็น มีแน่ๆ กำลังเห็นด้วย และก็พูดเรื่องนี้ด้วย แต่ว่ารู้ลักษณะของธาตุซึ่งเป็นธรรมที่เกิด และกำลังรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นแม้แต่สิ่งเดียวที่มีในขณะนี้ก็สามารถที่จะกล่าวถึงโดยนัยประการต่างๆ ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ถึง ๔๕ พรรษา ให้ผู้ฟังค่อยๆ สะสม ไม่ใช่ว่าจะทำอย่างไร จะทำอะไร จะทำทำไม เข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงการไม่สงสัย และสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
มีใครไม่ต้องการความจริงบ้างไหมคะ ชอบอะไรที่หลอกลวงหรือเปล่า ลวงให้เห็นว่าเป็นคน ลวงให้เห็นว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ นั่นคือไม่ได้รู้ความจริงแต่ถ้ารู้ความจริง ก็ลวงต่อไปไม่ได้ แต่เป็นปกติ คือเคยเห็นอย่างไรก็ต้องเห็นเป็นอย่างนั้น แต่สามารถที่จะเข้าใจถูกได้ว่า ที่เห็นเป็นอย่างนั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม สามารถเกิดขึ้นรู้คือเห็น และก็คิดนึกต่างๆ ตลอดชีวิต