ทำไมวันนี้จึงต่างจากเมื่อวานนี้
วันนี้ต่างกับเมื่อวานนี้ เมื่อวานนี้ทุกข์บ้างไหม สุขบ้างไหม เฉยๆ บ้างไหม แต่ละนาที แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใครทำ ไม่มีใครสักคนที่ทำ แต่มีเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนี้แล้วไม่เป็นอย่างอื่น หวั่นไหวไหมคะ เพราะรู้ความจริงว่า เกิดแล้ว เป็นอย่างนี้แล้ว ตามเหตุตามปัจจัย ถ้ามีความเข้าใจธรรมจริงๆ ไม่เดือดร้อนเลย ปัญญาไม่ทำความเดือดร้อนใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่ทำให้มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกว่า ชั่วคราว ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ยั่งยืน เพียงมีปัจจัยเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไปเป็นของธรรมดา เพราะฉะนั้นอะไรจะเกิดอีกก็เพราะมีปัจจัยให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แล้วก็ไม่ยั่งยืน เกิดแล้วก็หมดไป เป็นของธรรมดา ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็รู้ว่า ต้องเกิด เพราะอะไรคะ เพราะมีปัจจัยที่เกิดแล้วเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ก็เป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหว เพราะเข้าใจธรรม
เพราะฉะนั้นบางคนฟังเรื่องการเกิดดับของสภาพธรรม อยากจะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะกว่าสังขารขันธ์จากการฟัง การเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ ให้เห็นความเป็นจริงว่า ธรรมเป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เกิดขึ้นต่างๆ นานา แต่ละขณะตามเหตุตามปัจจัย ความเข้าใจอย่างนี้ทีละเล็กทีละน้อย วันหนึ่งเกิดไม่หวั่นไหว ก็จะได้รู้ว่า เพราะเราเริ่มเข้าใจในความจริงของธรรมว่า ไม่เที่ยง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ตอนอยากจะให้รู้ รู้ไม่ได้ แต่ตอนที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นๆ จนถึงรู้ได้ ขณะนั้นก็จะรู้ได้ว่า เพราะอะไร เพราะได้เคยสะสมความเข้าใจมาทีละเล็กทีละน้อย
เพราะฉะนั้นวันนี้ใครอยากจะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ยังไม่ถึงเวลาค่ะ คือ ปัจจัยไม่พร้อม แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจเลย ก็ยิ่งนานออกไปอีก ใช่ไหมคะ กว่าจะสะสมความเข้าใจซึ่งทำให้ละคลายความต้องการ แล้วก็สามารถถึงเวลาจะรู้ได้จริงๆ เพราะว่าได้สะสมความเข้าใจมาแล้ว
เพราะฉะนั้นขณะนี้มีหน้าที่สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกเท่านั้นเอง แล้วแต่ว่าจะถึงกาลที่สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมระดับไหน อย่างไร ก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แต่ไม่ใช่เป็นความอยาก ความหวั่นไหว การต้องการหาวิธีที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะไม่มีตัวตนที่จะไปทำอย่างนั้นได้ แต่การสะสมความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ก็ทำให้สามารถเข้าใจขึ้นได้ จนถึงรู้ความจริงของสภาพธรรมได้