ส่วนสุด 2 อย่าง
การปฏิบัติผิดจากการเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ โดยการที่ว่า ถ้าเป็นผู้หมกมุ่นในเรื่องความสุขในกาม ขณะนั้นก็ไม่เห็นประโยชน์ของการเข้าใจธรรม และบางคนก็อาจจะคิดว่า นั่นเป็นหนทางที่จะทำให้พ้นทุกข์ เพราะว่าหนี เลี่ยงทุกข์ด้วยกาม คือ ความสุข ความติดข้อง บางคนเวลานี้อาจจะเห็นว่าเป็นทุกข์ก็ไม่เป็นไร ไปเพลิดเพลินเสียจะได้หมดทุกข์ อย่างนั้นก็เป็นไปได้ และถ้ามีความเห็นผิดว่า นั่นก็เป็นหนทางที่จะหมดทุกข์ ไม่เผชิญทุกข์ ไม่รู้ทุกข์ตามความเป็นจริง แต่ว่าพอมีทุกข์ หรือคิดว่าจะมีทุกข์ ก็หาความสุขเพื่อจะไม่ให้เกิดความทุกข์ เพราะคิดว่านั่นเป็นหนทางที่จะพ้นจากทุกข์ นั่นก็พวกหนึ่ง
อีกพวกหนึ่งก็คิดว่า สุขมาก ก็คงจะไม่ได้เข้าใจสภาพธรรม ถ้าทรมานให้เกิดความทุกข์ก็จะเห็นทุกข์ เพราะฉะนั้นบางคนเข้าใจว่า เมื่อลำบาก นั่นคือการทำให้เห็นทุกข์ ก็ไปทรมานตัว ตั้งแต่นอนบนตะปู เป็นต้น หรือถ้ามากหรือน้อยกว่านั้น ก็คือทำอะไรก็ตามแต่ซึ่งไม่ใช่การเข้าใจลักษณะของสภาพที่กำลังปรากฏ โดยวิธีอื่น เช่น เพียรเหลือเกินที่จะนั่งทั้งคืน มีไหมคะ เพราะได้ยินว่า ต้องเพียร ก็เลยคิดว่า เพียรนั่ง พออรุณขึ้นก็จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม นั่นก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ทั้งลำบากด้วย นั่งทั้งคืนแล้วตั้งอกตั้งใจเหลือเกินที่อยากจะรู้ ก็รู้ไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ทรงแสดงหนทางผิด ไม่ว่าทางหนึ่งทางใด
พูดอย่างสั้นที่สุด คือรู้ไหมว่า อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ จะดับทุกข์ ก็ต้องรู้ว่า ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์เกิดจากอะไรถึงจะดับได้
เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะแสดงข้อความในบทนี้ว่าอย่างนี้ แต่ข้อความอื่นก็มีอีกที่จะทำให้รู้ว่า การที่จะดับเหตุของทุกข์ ก็ต้องรู้ว่า ทุกข์นั้นอยู่ที่ไหน อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่รู้ว่า ทุกข์นั้นเกิดจากอะไร ก็ไม่สามารถดับทุกข์ได้ แต่ที่ทุกคนทราบขณะนี้ ทุกข์เพราะกิเลสแน่นอน กุศลธรรมไม่ได้นำความทุกข์มาให้เลย เพราะฉะนั้นทุกข์ขณะใดที่เกิดให้ทราบว่า มีกิเลสเป็นมูลเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ อยู่ดีๆ นั่งสบายๆ เป็นทุกข์ได้ไหมคะ ได้ เพราะกิเลส