ชวนะโดยนัยของพระสูตร
ผู้ฟัง จะเรียนถามอาจารย์เรื่องชวนจิตอีกครั้ง สมมติว่าเรามองเห็นภาพๆ หนึ่ง จิตเห็นก็เกิดขึ้น แต่ในภาพนั้นเราไม่ต้องการเป็นอกุศล คือ เราไม่ต้องการให้จิตคิดเกิดขึ้นมาคิดมาปรุงแต่ง แล้วเราก็หลับตาเสีย ขณะนั้นชวนจิตเกิดหรือยังคะ
ท่านอาจารย์ คงจะไม่เข้าใจความหมายของชวนะกันว่า ชวนะคืออะไร โดยนัยของพระสูตรที่ทรงแสดงไว้ จะไม่มีสัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต หรือชวนจิตเลย
เพราะฉะนั้นถ้าจะให้เข้าใจ ให้ทราบว่า ชวนะคือขณะไหน เวลาที่โลภะ ความติดข้องเกิดขึ้น นั่นคือชวนะ เวลาโกรธ นั่นคือชวนะ เวลาที่กุศลจิตเกิด ต้องการช่วยเหลือคนอื่น มีเมตตากรุณา นั่นคือชวนะ
เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า โดยนัยของพระสูตรที่ทรงแสดงว่า เมื่อเห็นแล้ว จิตเป็นอะไร ไม่ต้องพูดถึงสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะอะไรเลย เห็นแล้วชอบ เห็นแล้วชัง เห็นแล้วเป็นกุศล เห็นแล้วเป็นอกุศล
นี่คือความจริงโดยนัยของพระสูตร เพราะพอเห็นแล้วเกิดอะไรขึ้น ชอบหรือไม่ชอบ ไม่ต้องไปนั่งคิดถึงสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะเลย พอเห็นแล้วโกรธ ขณะที่กำลังโกรธนั้นคือชวนะ
เพราะฉะนั้นชวนะก็คือกุศลจิต หรืออกุศลจิตนั่นเอง สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์
ผู้ฟัง ก็แปลว่า ขณะนั้นได้สั่งสมสันดานแล้วหรือคะ
ท่านอาจารย์ โลภะเกิด คนนั้นเห็นอะไรชอบหมดทุกอย่างเลย อยากจะได้ไปหมด โลภะตลอดวัน ถ้าคนไหนที่สะสมความขุ่นเคืองใจ คนนั้นก็ขี้โมโห เจออะไรนิดหนึ่งก็ไม่ถูกใจ เพราะเหตุว่าสะสมๆ ไว้เรื่อยๆ บางคนก็ริษยา เพราะฉะนั้นก็สะสมความริษยาไว้ ความริษยาก็มีมากกว่าคนอื่นที่ไม่ได้สะสมมา
ผู้ฟัง คือพอเห็นแล้วเราไม่ต้องการจะดู หรือหลบ
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องการเป็นจิตอะไรคะ
ผู้ฟัง ก็เป็นอกุศล
ท่านอาจารย์ อกุศลก็คือชวนะ ทีนี้จะหายสงสัยว่า ชวนะคืออะไร ก็คือกุศลจิต อกุศลจิต หลังจากที่เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว แต่ก่อนที่จะถึงชวนะ โดยอภิธรรมแสดงไว้ละเอียดว่า ไม่ใช่พอเห็นปุ๊บ ไม่ชอบปั๊บ จะต้องมีจิตเกิดดับสืบต่อทำการงานกว่าจะเป็นชวนะ เพื่อความเป็นอนัตตา ให้เห็นว่า ไม่มีใครไปทำอะไรได้
ผู้ฟัง กว่าจะคิดได้ โกรธไปแล้ว
ท่านอาจารย์ ก็แล้วไป สิ่งไหนที่แล้วก็แล้วไป ทำไมมีความเป็นตัวตนมานั่งกังวลอีกละคะ กังวลซ้อนกังวลเข้าไปอีก
ผู้ฟัง อันนี้ก็เกิดจากเหตุปัจจัย
ท่านอาจารย์ เกิดจากความยึดมั่นในตัวตน