ปัญญาต้องอาศัยการฟังธรรม
ผู้ฟัง ก็มีความรู้สึกอย่างที่อาจารย์กล่าวเมื่อกี้นี้ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย มีความรู้สึกว่า ถ้าเราไม่คิด จะปล่อยให้เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยไปวันๆ หนึ่ง ถ้าหากว่าเราสร้างเหตุปัจจัยดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติจะต้องดี อย่างนั้นใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ ไม่มีเราที่จะสร้าง แต่มีความรู้เรื่องปัจจัย อย่างความรู้เรื่องการฟังธรรม เรารู้เลยว่า ๑. ได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ใช่ไหมคะ ธรรมต้องเป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ก่อนการตรัสรู้ เราได้ยินสารพัดเรื่องจากครูทั้งหลายในสมัยโน้น มักขลิโคศาล สัญชัยเวลัททบุตร หลายอาจารย์ทีเดียว แต่เรายังไม่เคยฟังธรรมที่เราไม่เคยฟังมาก่อน
ก่อนการฟังธรรม เราจะฟังเรื่องละความประพฤติ ทำความดี รักษาศีล ก็เท่านั้นเอง แต่ไม่มีคำสอนซึ่งเราไม่ได้ยินได้ฟังมาก่อน เรื่องจิตซึ่งเกิดดับ เรื่องเจตสิกซึ่งเป็นสภาพซึ่งเกิดกับจิต เรื่องรูปซึ่งเกิดขึ้นเพราะปัจจัย คือ กรรมบ้าง จิตบ้าง อุตุบ้าง อาหารบ้าง เรื่องนิพพาน เราก็ไม่เคยรู้มาเลย
เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ทำให้เราได้ยินได้ฟังสิ่งซึ่งเราไม่เคยได้ฟังมาก่อน เพราะฉะนั้นเราเริ่มเห็นประโยชน์ของการฟัง และเรารู้ว่า ปัจจัยของการให้ปัญญาเกิด ก็คือการฟัง ถ้าไม่มีการฟังแล้วจะให้เราคิดเอง นึกเอง เป็นไปไม่ได้เลย ต้องผิด เพราะว่าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้มีปัญญาบารมีมาที่จะตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งเกิดจนตายก็เห็นทางตา แต่ไม่เคยรู้ความจริง
เพราะฉะนั้นเราถึงเห็นประโยชน์ของการฟัง และเราจะรู้ว่า ปัญญาจะเจริญขึ้นเพราะฟัง จึงได้ฟัง แต่ไม่ใช่ว่าเราจะทำอย่างนั้น เราจะทำอย่างนี้ เพื่อให้ปัญญาเกิด แต่เพราะรู้ปัจจัยว่า ปัญญานั้นต้องอาศัยการฟัง และการฟังไม่ใช่การได้ยิน เพราะได้ยินแต่ไม่ฟังก็ได้ ใช่ไหมคะ ได้ยินไหม ก็ได้ยิน แต่ก็ผ่านไป แต่ฟังต้องคิด ต้องพิจารณาในเหตุผลว่าถูกต้อง เป็นความจริงไหม พิสูจน์ได้ไหม ขณะนี้เป็นความจริงอย่างนั้นหรือเปล่า
นี่คือการฟัง แต่การฟังที่ถูกต้องยิ่งกว่านั้นก็คือ ต้องประพฤติปฏิบัติตามด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ฟังเท่านั้น
เพราะฉะนั้นการอบรมจิตใจ ก็จะต้องเป็นไปตามลำดับขั้นจริงๆ อย่างเราได้ฟังเรื่องโลภะ เป็นสิ่งที่นำความทุกข์มาให้ ความติดข้องนี่ ไม่ว่าเราอยากได้อะไร หรือต้องการอะไร ให้ทราบว่า ในขณะนั้นเป็นทุกข์จริงๆ ถ้าเพียงไม่ต้องการจะสุขสักแค่ไหน เบาสบายทันทีเลย ไม่ต้องไปแสวงหา ไม่ต้องไปเก็บรักษา ไม่ต้องไปประคับประคอง ไม่ต้องไปนั่งหวง หยิบขึ้นมาดูวันละหลายๆ ครั้ง ว่า ยังอยู่หรือเปล่า
นี่แสดงให้เห็นว่า เราเริ่มจะเห็นโทษของสิ่งที่มีโทษจริงๆ แต่ยังละไม่ได้ นี่คือความเข้าใจถูก เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า การฟังธรรม เพื่อให้เรารู้จักสภาพธรรมตามความเป็นจริง แม้ว่ายังไม่สามารถประพฤติปฏิบัติตาม คือ ละ เพราะเหตุว่าตัวตนละไม่ได้ อวิชชาละไม่ได้ อกุศลละกิเลสไม่ได้เลย ต้องเป็นปัญญาที่เพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้นเราก็รู้ปัจจัยที่จะทำให้เกิดปัญญาว่า ต้องอาศัยการฟัง และการฟังวันนี้กับอีก ๒๐ ปีข้างหน้าจะผิดกัน จะมีความเข้าใจที่เร็วขึ้น ถูกต้องละเอียดขึ้น ใช่ไหมคะ เหมือนคนที่ฟังมาแล้ว ๒๐ ปี กับคนที่เพิ่งเริ่มฟัง การฟังของเขาก็ต้องผิดกัน สำหรับคนที่ฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรอง และเห็นประโยชน์
เพราะฉะนั้นปัญญาก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นตามเหตุตามปัจจัย โดยที่ไม่มีใครไปบังคับหรือไปทำอะไรได้
คืออะไรที่ยังสงสัย ข้องใจ ไม่แน่ใจ เราควรเข้าใจเรื่องนั้นให้ถูกต้องจริงๆ เพราะสำคัญที่สุด คือ ความเข้าใจถูก ความเข้าใจของแต่ละคนต่างกันแน่นอน แต่ถ้าเราได้ศึกษาเรื่องของเหตุผลแล้ว เราจะได้ค่อยๆ พิจารณาจนกระทั่งเราเกิดความมั่นใจว่า สิ่งที่ถูกต้องนั้นคืออย่างไร และเป็นไปตามสภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นไปตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงหรือเปล่า โดยไม่ใช่เอาความเห็นของเราเท่านั้น หรือว่าถ้าเรายังเชื่ออะไรอยู่ ก็เชื่อต่อไปโดยที่ไม่ยอมเลิก แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่มีเหตุผลเลย ก็ยังเชื่ออยู่ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเหตุว่าเท่ากับเราเก็บความไม่รู้ เก็บความไม่มีเหตุผลเอาไว้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจะไม่ถึงพระพุทธศาสนาแน่นอน ผู้ที่จะเข้าถึงพระธรรมหรือพระพุทธศาสนา ต้องเป็นคนตรง และมีเหตุผล และรู้ว่า การเข้าใจถูกเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด แทนที่จะไปเก็บความสงสัย ความไม่รู้ หรือความเข้าใจผิดไว้