เกิดความสงสัย


    ผู้ฟัง ถ้าผมจะถามเรื่องที่ประสบมากับตนเองได้หรือเปล่าครับ

    ท่านอาจารย์ ได้ค่ะ

    ผู้ฟัง คือตอนที่ผมบวช เสียงต้องมีต้นเหตุที่ทำให้เราได้ยิน ใช่ไหมครับ มีอยู่คืนหนึ่งตื่นขึ้นมารู้สึกได้ยินเสียงสวดมนต์ ตอนแรกคิดว่าหูคงฝาด ก็ได้ไปตรวจรอบวัด ในวิหาร ก็ไม่มีที่มาของเสียง อันนี้อาจารย์คิดว่า น่าจะเป็นเพราะอะไรครับเสียงที่ได้ยินนี้

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วนะคะ ธรรมดาเวลานี้เราก็ได้ยิน ถูกไหมคะ เวลาที่ได้ยินไม่ได้สงสัยเลย ใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง คือผมสงสัยที่ว่า เสียงนั้นเกิดจากไหน และมาจากที่ไหน

    ท่านอาจารย์ นั่นซิคะ ก่อนที่จะไปจุดนั้นเราต้องเข้าใจความจริงว่า ขณะนี้ก็มีเสียงที่ได้ยิน กำลังได้ยินเสียงขณะนี้ ไม่มีความสงสัยในเสียงที่ได้ยินใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ผมสงสัยแต่ว่าหาที่มาไม่เจอ แค่นั้น แต่รู้ว่ามาจากที่โบสถ์ ผมอยากจะรู้ว่า ที่มาคืออะไร มันมาอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าโดยในลักษณะนี้ ไม่มีทางหมดความสงสัยแน่นอน เพราะยังไม่เข้าใจเสียงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ กับได้ยินที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    เรื่องสงสัยจะมีมากๆ เลยตลอดชีวิต ตื่นขึ้นมากลางดึก ได้ยินเสียงอะไร ถึงแม้จะไม่ใช่เสียงสวดมนต์ ขอให้ลองคิดดูนะคะ ตื่นขึ้นมากลางดึก ได้ยินเสียงอะไรก็ตาม แม้จะไม่ใช่เสียงสวดมนต์ สงสัยแล้วว่า นี่เสียงอะไร จะเป็นเสียงหนู หรือจะเป็นเสียงสัตว์ชนิดหนึ่งชนิดใด หรือจะเป็นเสียงอะไร ต้องมีความสงสัย และความสงสัยอย่างนี้ ก็ไม่มีทางหมดไปได้เลย ถ้าไม่รู้ความจริงของเสียงกับได้ยินที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งเป็นของจริง

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ปัญญาเป็นสภาพที่เข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าในขณะนั้นมีตัวเรา มีตัวตน ต้องมีสิ่งอื่น คือ เอ๊ะ นี่เสียงอะไรมาจากไหน เพราะเหตุว่ายังมีความเป็นตัวเราที่ได้ยิน

    เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ว่า เสียงนั้นเกิดปรากฏแล้วหมดไป ไม่มีอะไรเลย จะถูกต้องหรือเปล่า คือเราต้องเข้าใจลึกมากเมื่อพูดถึงความจริงในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าขณะไหนทั้งสิ้น ขณะนี้หรือขณะที่ตื่นมาจะได้ยินเสียงอะไรก็ตาม ถ้ายังมีเรา ยังมีตัวตน ก็จะต้องมีความสงสัยว่า นั่นเสียงอะไร แต่ความจริงเสียงหมดแล้ว สภาพที่ได้ยินหมดแล้ว และถ้าขณะนั้นมีปัญญารู้อย่างนั้นจริงๆ จะไม่สงสัยอะไรเลย จะหมดความสงสัย แต่ถ้าไม่เข้าใจจะต้องมีเรื่องสงสัยตลอดชีวิต ไม่ใช่เสียงสวดมนต์ ก็เป็นเสียงอื่น ก็ยังคงสงสัยอยู่ เพราะว่ายังไม่มีความรู้ในลักษณะของเสียงกับลักษณะของได้ยิน ใครจะบอกอย่างไร ก็ไม่หมดสงสัย แล้วก็ยังมีอีกด้วย ไม่ใช่แต่เฉพาะครั้งนั้นครั้งเดียว แล้วเราจะเก็บความสงสัยนี้ไว้เรื่อยๆ หรือคะ คือ ไม่รู้ความจริงของได้ยินกับเสียงสักทีหนึ่ง มีความเป็นตัวตนตลอดเวลา ก็ต้องมีความสงสัยไปอีก

    สักวันหนึ่งตื่นขึ้นมาตอนดึก ก็ต้องมีความสงสัยว่า เสียงอะไร และก็เป็นความนึกคิดที่ต่างกันว่า อันนั้นเป็นเสียงสวดมนต์ และมาจากไหน ก็คิดสงสัยยาวไปอีก ซึ่งเรื่องจะตัดความสงสัย ต้องด้วยการเจริญปัญญารู้ความจริง ถ้าตราบใดที่ปัญญายังไม่รู้ความจริง ต้องมีเรื่องสงสัยอีก

    เพราะฉะนั้นในพระพุทธศาสนา คำตอบไม่ได้ไปตอบตามสถานการณ์ คนนี้มีเรื่องนี้ ก็จะตอบไปเป็นอย่างนี้อย่างนั้น คนนั้นมีเรื่องนี้ ก็จะตอบไปว่าเป็นอย่างนั้น แต่จะตอบถึงต้นตอ คือ ให้

    ผู้ฟัง เกิดปัญญาที่สามารถรู้ความจริงด้วยตัวเอง จนหมดความสงสัยได้ ไม่อย่างนั้นคำถามนี้จะมีอีกค่ะ อาจจะมีทุกวันก็ได้ ใช่ไหมคะ ก็ไม่หมด

    เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุด คือ ศึกษาให้สามารถรู้ความจริงของเห็นในขณะนี้ ของได้ยินในขณะนี้ ของคิดนึกในขณะนี้ แล้วจะรู้ความจริงว่า แท้ที่จริงก็คือคิด เสียงหมดไปแล้ว แต่คิดติดตามเสียงไกลจนกระทั่งว่าเสียงนั้นเกิดจากอะไร และเป็นเสียงอะไร และบางคนอาจจะตามไกลไปจนกระทั่งถึงว่า เป็นเสียงเทวดา เป็นเสียงอะไร ค้นคว้าหาเหตุไปผูกพัน เรื่องของความผูกพัน คือ เรื่องของความไม่รู้ และก็เป็นความคิดนึก เทวดาก็ไม่เห็น แต่เราก็ยังอุตส่าห์ไปคิดไปนึกว่า นี่เป็นเสียงเทวดา ถึงเป็นเสียงเทพ ก็หมดค่ะ เสียงอะไรเกิดขึ้นก็หมดทั้งนั้น แล้วได้ยินก็ต้องดับไปด้วย และจริงๆ แล้วก็มีเพียงสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมเพียง ๓ อย่างซึ่งเกิดขึ้น คือ เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูปเท่านั้น

    ถ้าจะให้หมดความสงสัยจริงๆ ต้องเข้าใจเรื่องนี้ค่ะ เรื่องนามธรรม เรื่องรูปธรรม


    หมายเลข 8161
    24 ส.ค. 2567