กรรมเป็นสภาพที่ปกปิด
คุณศุกล การให้ทาน ส่วนมากก็จะเน้นเรื่องการถวายอาหารปัจจัยพระภิกษุ
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจว่า ทานอยู่ที่ใจที่เป็นบุญ เป็นกุศล ขณะใดที่ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ เป็นจิตใจที่ดีงาม เพราะฉะนั้นเกิดขึ้นขณะใด เป็นสิ่งที่เป็นกุศลทั้งนั้น ถึงแม้ไม่ให้อะไรเลย แต่เป็นมิตรกับคนอื่น ไม่เป็นศัตรูกับใคร ขณะนั้นก็เป็นกุศล
เพราะฉะนั้นกุศลมีถึง ๑๐ อย่าง บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่าง ไม่ใช่ว่าเราเจาะจงว่าทานเท่านั้นที่เป็นกุศล แม้แต่เรามีจิตเมตตาต่อคนอื่น ขณะนั้นก็เป็นกุศลด้วย
ผู้ฟัง ยังติดใจคำที่ท่านอาจารย์พูดว่า กรรม และวิบากไม่มีใครล่วงรู้ได้ นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปุถุชนก็ไม่สามารถล่วงรู้กรรมได้
ท่านอาจารย์ คิดเองหมดเลยค่ะ แต่ไม่ได้รู้จริง เพราะเหตุว่ากำลังเห็นเดี๋ยวนี้เป็นวิบาก เป็นผลของกรรมอะไร ใครบอกได้ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า กรรม และวิบาก ผลของกรรม เป็นสภาพที่ปกปิด
ผู้ฟัง สภาพเช่นนี้จึงทำให้ ปุถุชนรู้ได้ยาก ใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่พิจารณาในเหตุผล อย่างการได้ยินในขณะนี้เป็นวิบาก เป็นผลของกรรมอะไร ตอบได้หรือคะ ไม่มีทางจะตอบได้เลย เพราะฉะนั้นขณะใดที่กระทำกรรม คนนั้นก็ไม่รู้ว่า กรรมนี้จะให้ผลเมื่อไร เป็นสภาพที่ปกปิดจริงๆ จะให้ผลมากหรือให้ผลน้อยอย่างไรก็ไม่รู้ ใช่ไหมคะ และเวลาที่ผลของกรรมเกิดก็ไม่รู้ว่า ผลนี้มาจากกรรมอะไร ชาติไหน อย่างเรากำลังทานขนม เป็นผลของกรรมอะไร ชาติไหน แต่ว่ามีกรรมที่ทำให้ชิวหาปสาทเกิด มีรูปกระทบ ทำให้วิบากจิตลิ้มรส ขณะที่ลิ้มรสคือผลของกรรมแล้ว
เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ เรามีผลของกรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยลืมว่า นี่เป็นผลของกรรม แต่จริงๆ แล้วทุกขณะเหล่านี้เป็นผลของกรรม มีกรรมที่ได้ทำแล้วเป็นเหตุ แล้วหลังจากลิ้มรสแล้ว เห็นแล้ว ก็ยังมีกิเลสซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดกรรมต่อไปอีก แล้วแต่ว่าจะมากน้อยที่จะทำให้เราเกิดกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ก็ไม่สิ้นสุด ถ้าตราบใดที่มีกิเลส ก็ต้องมีกรรม แล้วก็ต้องมีวิบาก แต่ว่าเป็นสิ่งที่ปกปิด เพราะเราไม่สามารถจะติดตามไปรู้ได้ว่า กรรมนี้จะให้ผลเมื่อไร หรือว่าผลนี้เป็นผลของกรรมเมื่อไร