มหาภูตรูป ๔ - ๒
ท่านอาจารย์ ที่ตัวของเราไม่มีใครสามารถสร้างได้เลย นอกจากกรรม เพราะเหตุว่าเวลาปฏิสนธิ ขณะจิตที่ปฏิสนธินั้น กรรมไม่ได้ทำให้แต่เพียงจิตที่เป็นผลของกรรมเกิด แต่ทำให้รูปเกิดพร้อมกับจิตนั้นด้วย เพราะฉะนั้นรูปซึ่งเกิดเพราะกรรม ชื่อว่า “กัมมชรูป”
เวลานี้ทุกคนทราบเลยว่า ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าเป็นผลของกรรม ทำให้เราสูงต่ำดำขาวต่างกันไป ไม่เหมือนกันเลย ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เกิดจากกรรม
จักขุปสาทที่กลางตา บางคนก็ไม่มี เป็นคนตาบอด เพราะกรรมไม่ทำให้รูปนั้นเกิด แต่ว่าปกติแล้วในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ในภูมิมนุษย์ กรรมก็จะทำให้เกิดจักขุปสาท โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท ไม่ใช่เป็นแต่เพียงธาตุอ่อนหรือแข็ง แต่ต้องมีส่วนที่มีลักษณะพิเศษที่สามารถกระทบกับสีสันวัณณะต่างๆ เวลาที่ลืมตา หรือมีส่วนที่มีคุณลักษณะพิเศษที่สามารถกระทบกับเสียง ทำให้จิตได้ยินเสียงเกิดขึ้น มีส่วนที่ทำให้กระทบกลิ่น แล้วก็มีจิตที่รู้กลิ่นเกิดขึ้น มีส่วนที่ทำให้กระทบกับลิ้น ทำให้จิตสามารถลิ้มรสนั้น
นี่ก็แสดงให้เห็นว่าที่ต่างกับรูปอื่นๆ ก็คือรูปอื่นอย่างโต๊ะ เก้าอี้ ไม่มีจักขุปสาท ไม่มีโสตปสาท ไม่มีชิวหาปสาท ไม่มีกายปสาท ไม่มีจิต แต่สำหรับกัมมชรูป กรรมทำให้จักขุ ตา หู จมูก ลิ้น และปสาทกายซึมซาบอยู่ทั่วทั้งตัว ไม่กระทบอะไรเลย แต่รู้สึกปวดท้อง ก็เพราะเหตุว่ามีกายปสาทซึมซาบอยู่ทั่วตัว ที่กระทบกับสิ่งที่แข็ง หรือลักษณะของลมที่ตึง ที่ไหว ก็ทำให้ทุกขเวทนาทางกายเกิดขึ้น
นี่แสดงให้เห็นว่า มีรูปซึ่งเกิดเพราะกรรมพร้อมกับปฏิสนธิจิต ซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธาน ๔ รูป คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม นี่พูดถึงแต่เฉพาะธาตุดินเท่านั้น
มีข้อสงสัยไหมคะในธาตุดิน ไม่มีนะคะ ที่ผมมีธาตุดินไหมคะ มีแน่ๆ นะคะ ที่กลางตาละคะมีธาตุดินไหม มีค่ะ ขึ้นชื่อว่าทั่วทั้งกายจะมีธาตุที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ส่วนจักขุปสาทเล็กมาก และอยู่ที่กลางตา มองก็ไม่เห็น กระทบสัมผัสก็ไม่ได้ แต่เรารู้ว่ามี เพราะอะไร เพราะขณะนี้เห็น เพราะฉะนั้นก็ต้องมีรูปที่มีลักษณะพิเศษที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตา รูปนี้ต้องมีแน่ และรูปนี้ก็เกิดขึ้นเพราะกรรมด้วย ไม่มีใครสามารถสร้างรูปนี้ได้เลย หรือใครคิดว่าจะสร้างได้หรือทำได้ มีข้อขัดแย้ง มีข้อสงสัยไหมคะ
ผู้ฟัง ตรงที่เป็นปสาทรูปก็เป็นดินด้วย
ท่านอาจารย์ ต้องมี ๘ รูปรวมกัน แยกกันไม่ได้เลย แต่แข็งไม่ใช่ลักษณะที่กระทบสี เป็นลักษณะที่แข็งเท่านั้น แต่ในส่วนที่แข็ง จะมีรูปที่เกิดร่วมกันอีกรูปหนึ่งที่ตรงกลางตา คือ จักขุปสาทรูป ที่โสตปสาทรูป ก็ไม่ใช่มีโสตปสาทรูปได้ลอยๆ จะต้องมีมหาภูตรูป ๔ เพราะฉะนั้นมหาภูตรูป ๔ เป็นพื้น
ธาตุดิน ผ่านไปแล้ว พอถึงธาตุน้ำ ไม่มีใครจะกระทบสัมผัสธาตุน้ำได้เลย เรียกว่า “น้ำ” แต่ไม่ใช่น้ำที่เราดื่ม เพราะเหตุว่าเป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกาะกุมธาตุอื่นๆ ไว้ด้วยกัน ไม่กระจัดกระจายไปได้เลย นั่นเพราะเหตุว่ามีรูปชนิดหนึ่งซึ่งเป็นธาตุน้ำเกาะกุมธาตุอื่นๆ ให้รวมกันอยู่
นี่คือลักษณะของธาตุน้ำ ซึ่งจะมีลักษณะที่ไหลเอิบอาบหรือเกาะกุม เวลาที่เรามีลักษณะของธาตุน้ำมาก เราก็เรียกว่า “น้ำ” ใช่ไหมคะ เอิบอาบ ไหล เกาะกุม แต่จริงๆ แล้วเราอาจจะบอกว่าเป็นดินเหลว และลักษณะที่อ่อนมากจนเหลว จนไหล แต่ก็ต้องมีธาตุชนิดหนึ่งซึ่งไหลหรือเกาะกุม เพราะว่าดินนั้นแข็งเท่านั้น หรืออ่อนเท่านั้น จะไม่ไหล หรือจะไม่เกาะกุมด้วย
นี่คือธาตุน้ำ ซึ่งขณะใดก็ตามที่กระทบสัมผัสสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยกายปสาท จะกระทบสัมผัสเพียงธาตุดินที่อ่อนหรือแข็ง ธาตุไฟที่เย็นหรือร้อน ธาตุลมซึ่งตึงหรือไหว แต่จะไม่มีการกระทบสัมผัสธาตุน้ำได้เลย
นี่ทรงแสดงไว้จากการประจักษ์แจ้งว่า ทุกคนพิสูจน์ได้ เวลากระทบสัมผัส จะกระทบสิ่งที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหวเท่านั้น
สำหรับธาตุน้ำก็คงไม่มีปัญหา ให้ทราบว่า ธาตุทั้ง ๔ ไม่แยกจากกัน มีธาตุดินที่ไหน ต้องมีธาตุน้ำที่เกาะกุมที่นั่น แล้วก็มีธาตุไฟที่เย็นหรือที่ร้อน เวลาเรากระทบอะไร เราก็รู้ได้เลยว่า สิ่งนั้นร้อนหรือเย็น
ผู้ฟัง ธาตุไฟนี่หมายถึงเย็นด้วยหรือคะ
ท่านอาจารย์ เย็นหรือร้อนค่ะ รับประทานน้ำแข็ง ลักษณะที่เย็นมีจริงๆ นั่นคือธาตุชนิดหนึ่ง เป็นไฟร้อนหรือไฟเย็น
ผู้ฟัง คิดว่าไฟมีแต่ร้อน
ท่านอาจารย์ ร้อนหรือเย็น ลงมาจนสุดขีดนะคะ จนกระทั่งเลยลงไปอีกก็คือเย็น
นี่ก็ ๓ ธาตุ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุสุดท้ายก็คือธาตุลม ได้แก่ ลักษณะที่ตึงหรือไหว ทุกอย่างที่เคลื่อนไปได้ นั่นคืออาการของธาตุลม เพราะเหตุว่าธาตุอื่นจะเคลื่อนไปไม่ได้เลย
๔ ธาตุ คงไม่สงสัยแล้วใช่ไหมคะ เพราะว่าจะไม่มีรูปอื่นโดยที่ไม่มี ๔ รูปนี้ ๔ รูปนี้ต้องเป็นใหญ่ เป็นประธาน จึงชื่อว่า “มหาภูตรูป” ภูต ก็แปลว่า ใหญ่ มหา ก็มากมาย ที่ไหนๆ ก็มีทั้งนั้น ขึ้นชื่อว่ามีรูปที่ไหน ต้องมีมหาภูตรูป ๔