อาหาร - รส - โอชา


    ผู้ฟัง ยังนึกภาพไม่ออก

    ท่านอาจารย์ จะนึกภาพอะไรคะ

    ผู้ฟัง โอชะค่ะ

    ท่านอาจารย์ โอชะก็คืออาหารที่เรารับประทาน วันนี้เราต้องรับประทานใช่ไหมคะ มีรสไหมคะ มี นั่นคือรส มีอ่อนมีแข็งไหมคะ นั่นคือธาตุดิน แล้วก็มีธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม รวมอยู่ด้วย มีกลิ่นไหมคะ อาหารรับประทานเข้าไปมีประโยชน์อะไรหรือเปล่า ส่วนที่เป็นประโยชน์ที่ทำให้เกิดรูปต่อไป เป็นอาหาร เป็นโอชะค่ะ

    ไม่เหมือนกันค่ะ เพราะว่าภาษาไทยเราเอามาใช้ว่า อร่อย แต่อร่อยนี่คือรสที่เราชอบ แต่ไม่ใช่โอชะ รสคือรส แต่ในธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมนั้นเองจะมีส่วนที่มีรูปที่เป็นประโยชน์ที่จะทำให้เกิดรูปต่อไป อันนั้นคือโอชา

    ผู้ฟัง ที่เข้าใจมาก่อนว่า พอสัมผัสถูกลิ้น เข้าใจว่าขณะนั้นเป็นโอชะค่ะ เข้าใจผิด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ได้รู้ว่า พระธรรมทำให้เราเข้าใจทุกอย่างถูกต้อง ต้องศึกษา ไม่มีใครเลยที่จะมีสติปัญญารู้อะไรไปหมดโดยไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่มีทาง เข้าใจอะไรก็เข้าใจผิดทั้งนั้นถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม

    ผู้ฟัง ต้นไม้ทุกๆ ต้นใหญ่ขึ้น ต้องมีโอชะรูปไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ เพราะอุตุค่ะ ความเย็น ความร้อน นี่ต้องแยกกัน คือ สมุฏฐานทั้ง ๔ ไม่เหมือนกันเลย ในร่างกายของเรามีรูปซึ่งเกิดจากกรรม มีรูปซึ่งเกิดจากจิต มีรูปซึ่งเกิดจากอุตุ ความเย็นความร้อน มีรูปซึ่งเกิดจากอาหาร แต่นอกร่างกายแล้วทั้งหมดมีแต่เพียงรูปที่เกิดจากอุตุเท่านั้น ไม่มีรูปที่เกิดจากกรรม ไม่มีรูปที่เกิดจากจิต ไม่มีรูปที่เกิดจากอาหาร ไม่มีการบริโภคอาหารเลย เพราะฉะนั้นต้นไม้ใบหญ้าเติบโตด้วยอุตุ ปุ๋ยต่างๆ นี่คืออุตุทั้งนั้น ความเย็นความร้อน และส่วนผสมของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม

    ผู้ฟัง แสดงว่าที่มีโอชะรูป ต้องเป็นสิ่งที่มีชีวิต

    ท่านอาจารย์ ในอาหารทุกอย่าง ในอะไรก็ตามซึ่งอ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว เป็นมหาภูตรูป ต้องมีอีก ๔ รูปรวมอยู่ด้วย คือต้องมีสี มีกลิ่น มีรส มีโอชะ นี่มีโอชะด้วย นักวิทยาศาสตร์อาจจะเอาไปแปรรูปรับประทานได้

    ผู้ฟัง อย่างนั้นที่เรียกว่า รูปที่มีใจครอง กับรูปที่ไม่มีใจครอง อย่างต้นไม้เรียกว่า ไม่มีใจครองได้ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ เก้าอี้ โต๊ะ ไม่มีใจครองทั้งนั้น

    ผู้ฟัง ในรูป ๒๘ จะมีอยู่ ๑๓ รูป ที่รูปที่มีใจครองหรือไม่มีใจครองก็ต้องมีแน่นอน อย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ว่า ต้นไม้มีอุตุ แล้วยังต้องมีลักขณรูปกับปริจเฉทรูป

    ท่านอาจารย์ อันนั้นหมายความถึงต้องเกิดดับค่ะ รูปทั้งหมดต้องเกิดดับ

    ผู้ฟัง แม้แต่ต้นไม้

    ท่านอาจารย์ ทุกรูป อะไรที่เกิดต้องดับ อันนี้ลืมไม่ได้เลย ทุกอย่างที่เกิดแล้วต้องดับ อย่างเร็วด้วย ไม่รอช้าเลย ไม่อย่างนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างเก่า ทุกอย่างเสื่อม เพราะการเกิดดับอย่างเร็วมาก

    ผู้ฟัง เมื่อกี้ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม้ก็เป็นอาหาร ตอนแรกดิฉันเคยสงสัยว่า พวกที่ไม่มีใจครองก็เป็นอาหาร ดิฉันก็ยังงงว่าจะเป็นอาหารอย่างไร พอท่านอาจารย์บอกว่า ปลวกกินไม้ ก็เลยเข้าใจว่า ตัวของมันเองก็ต้องเป็นอาหารด้วย

    ท่านอาจารย์ เราก็ต้องเข้าใจหลักว่า ต้องมีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ๔ เป็นมหาภูตรูป แล้วยังไม่พอ เมื่อมีมหาภูตรูปแล้ว ต้องมีอีก ๔ รูปเกิดร่วมด้วยทุกครั้งไป รวม ๘ รูป แยกกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจะหมดความสงสัย ไม่ว่าต้นไม้ หรือที่นี่ (โต๊ะ) ก็ต้องมีอาหาร ทุกอย่างที่เป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ต้องมีโอชะ

    ผู้ฟัง และเมื่อกี้ท่านอาจารย์กล่าว “อุปาทายรูป”

    ท่านอาจารย์ ได้แก่รูปใดก็ตามที่ไม่ใช่มหาภูตรูป รูปอื่นทั้งหมดเป็นอุปาทายรูป หมายความถึงรูปที่อาศัยเกิดจากมหาภูตรูป

    ผู้ฟัง อีก ๒๔ รูปหรือคะ

    ท่านอาจารย์ เป็นอุปาทายรูป รูปทั้งหมดมี ๒๘ รูป เป็นมหาภูตรูป ๔ คือ รูปใหญ่ รูปประธาน ๔ เพราะฉะนั้นรูปที่เหลือเป็นอุปาทายรูปทั้งหมด คือ ไม่ใช่มหาภูตรูปนั่นเอง

    ทีนี้เวลารับประทานอาหาร เราก็รู้ได้เลยว่า เรารับประทานทั้งธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ทั้งสี ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งโอชะ แต่เฉพาะโอชะเท่านั้นที่ทำให้ร่างกายทรงอยู่ ดำรงอยู่ได้ หรือเจริญเติบโตขึ้น


    หมายเลข 8180
    24 ส.ค. 2567