รูปนั่ง นอน ยืน เดิน ไม่ใช่รูป
ผู้ฟัง การเจริญสติปัฏฐาน แบบให้ไปดูท่านั่ง ท่ายืน ท่าเดิน ท่านอน แต่จากการศึกษาเรื่องรูป ๒๘ จะเห็นได้ว่าเลยไม่มีท่านั่ง ท่ายืน ท่าเดิน ท่านอนเลย การที่บอกว่าเดิน ก็หมายความว่าไม่ได้เหาะ ไม่ได้ดำดินเท่านั้นเอง แต่ถ้ามาเรียนจากท่านอาจารย์แล้ว การที่บอกว่า อย่างนั่งอยู่แล้วจะยืน ถ้าคนแก่ก็ต้องเท้า เวลาเท้า มือก็เจอเก้าอี้แล้ว คือ แข็ง ตามที่ดิฉันเข้าใจว่า ให้สังเกตอย่างนี้ถ้าสมมติสติเกิดตรงนั้น มือเท้า นี่คือแข็ง แล้วลุกขึ้นมา คือ การเคลื่อนไหวลงมายืน หรือลุกขึ้นมายังไม่ทันยืน ก็สามารถได้ยินอะไรได้ หรือมองเห็นอะไรได้ จะเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ไม่ใช่เดินก็บอกว่า เดิน ก้าวขาไปๆ อย่างนั้นไม่ใช่การปฏิบัติอะไร ดิฉันยกตัวอย่างอย่างนี้ ท่านอาจารย์ว่าผิดถูกอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นต้องทราบว่า โดยมากคนเราจะติดภาษา อย่างพอพูดว่า ปฏิบัติ ก็เลยคิดว่าต้องทำ พอบอกว่าไปปฏิบัติ ชวนกันไปปฏิบัติ ก็เลยคิดว่า เขาชวนเราไปทำอะไร เพราะเป็นการปฏิบัติ แต่ความจริงไม่ใช่เรา ต้องเข้าใจว่า ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้แล้ว เป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตน และไม่ใช่ของเราด้วย ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า รูปเกิดจากกรรมก็ไม่รู้ รูปเกิดจากจิตก็ไม่มี รูปเกิดจากอุตุ รูปเกิดจากอาหารก็ไม่รู้เลย เพราะเหตุว่าคิดว่าเป็นเราทั้งหมด แม้แต่นั่งอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้เลยว่า แต่ละรูปทยอยกันเกิด และทยอยกันดับอย่างเร็วมาก รูปที่เกิดพร้อมปฏิสนธิจิตมีอายุ ๑๗ ขณะแล้วดับ แล้วจิตก็เกิดสืบต่อมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นแต่ละรูปก็ทยอยกันเกิดทยอยกันดับ ทุกคนมีความทรงจำว่ามีตัวตน มีเรา แต่จริงๆ แล้วถ้าแตกย่อยสภาพธรรมออกจะปรากฏในเสี้ยววินาที ชั่วขณะหนึ่งก็อย่างหนึ่ง แล้วก็ดับไปอย่างเร็วมาก
เพราะฉะนั้นที่ว่ามีท่านั่ง ท่ายืน ท่าเดิน ท่านอน รูปนั่ง รูปนอน รูปยืน รูปเดิน ให้ทราบว่าเป็นความทรงจำ เพราะว่าธรรมพิสูจน์ได้ ขณะนี้ที่กำลังนั่งอยู่ เห็น ไม่ใช่ท่านั่ง ท่านอน ไม่ใช่รูปนั่ง รูปนอน ได้ยินก็มีจริงๆ ไม่ใช่รูปนั่ง รูปนอน หรือว่ากำลังกระทบส่วนที่แข็ง ลักษณะที่แข็งปรากฏ ไหนท่านั่ง ใครจำได้หรือเปล่าว่า นั่งอย่างไร เพราะขณะนั้นกำลังมีแข็งปรากฏ
เพราะฉะนั้นที่จะรู้ว่าไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ต่อเมื่อประจักษ์แจ้งในลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่มีความทรงจำในความเป็นตัวตนเหลืออยู่ อย่างแข็ง ขณะหนึ่งที่แข็ง ไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีคิดนึก ไม่มีเรานั่ง ไม่มีอะไรเลย ชั่วขณะนั้นมีจิตที่กำลังรู้ลักษณะที่แข็ง ขณะนั้นจึงจะเป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าไม่เหลือ ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้านี่เราจำเอาไว้ต่างหาก แต่ความจริงทุกรูปทยอยกันเกิดทยอยกันดับ
ผู้ฟัง ก็คือไม่มีเดิน
ท่านอาจารย์ ท่าทางไม่มี มีรูปแต่ละรูปที่ปรากฏแต่ละทางด้วย และก็ดับไปอย่างรวดเร็วด้วย ขณะนี้ถ้าปัญญาสมบูรณ์ ประจักษ์รูปที่กำลังเกิดกำลังดับ ไม่ว่าจะเป็นรูปไหน ทางไหนทั้งสิ้น
นี่เห็นความต่างกันของปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับผู้ที่อบรมปัญญาจนกว่าจะเป็นอริยสาวกว่า ต้องประจักษ์อย่างนี้ มิฉะนั้นแล้วตัวตนยังมี