กิเลสเพิ่มแล้วโดยไม่รู้ตัว
ผู้ฟัง จากการอ่านหนังสือของท่านอาจารย์บทแรกๆ ไม่เข้าใจที่บอกว่า นิพพาน ๓ มีสุญญตา คือสูญจากสังขาร อนิมิตตะ ไม่มีสังขาร อปนิหิตตะ ไม่มีทั้งที่ตั้งของสังขาร อ่านแล้วดิฉันเข้าใจว่า มีความหมายเหมือนกันคือไม่มีสังขาร แต่คิดว่าคงไม่ใช่อย่างนั้น
ท่านอาจารย์ เรื่องพระนิพพานเป็นเรื่องที่ไกล เพราะฉะนั้นก็ผ่านไปก่อนได้ เพียงแต่ทราบได้ว่า นิพพานนั้นมีการถึงได้ด้วยปัญญาที่รู้ในสภาพของธรรมที่เป็นทุกข์อย่างหนึ่ง เป็นอนิจจังอย่างหนึ่ง เป็นอนัตตาอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงมีการเข้าถึงพระนิพพานด้วยปัญญาที่รู้ในทุกขลักษณะบ้าง หรือในอนิจจลักษณะ หรือในอนัตตลักษณะ ซึ่งถ้าผู้ใดยังไม่ถึงหรืออีกแสนไกลก็เพียงให้เข้าใจไว้ว่า นิพพานเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เหมือนเห็นในขณะนี้ก็เป็นสิ่งที่มีจริง ได้ยินก็มีจริง
เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่มีแต่ตาเห็น แล้วก็หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ใจคิดนึก ยังมีสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นปรมัตถธรรม และสภาพธรรมนั้นตรงกันข้ามกับทุกอย่างที่กล่าวถึงแล้ว คือ จิตก็ดี เจตสิกก็ดี รูปก็ดี หรือธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นปรากฏนั้นดับ เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ
เพราะฉะนั้นนิพพานเป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่การที่จะถึงพระนิพพาน แม้นิพพานเป็นสิ่งที่มีจริง เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงแสดง ถ้าไม่มีพระนิพพานให้ประจักษ์แจ้งแล้ว จะไม่มีการดับกิเลสได้เลย เพราะเหตุว่าสภาพธรรมใดก็ตามที่เกิดปรากฏ เป็นที่ต้องการ เป็นอารมณ์ของโลภะ ความติดข้องทั้งหมด ไม่ว่าอะไรจะผ่านทางตา ดูไหมคะ ผ่านไปตามถนน มีอะไรเกิดขึ้นข้างถนน โดยมากก็ดูแล้ว หรือแม้แต่ตื่นขึ้นมา เราก็มีตาที่ดูตลอด ไม่เคยคิดเบื่อหน่ายเลยว่า เมื่อไรจะไม่ได้เห็นเสียเลย ไม่เคยมีอยู่ในความคิดเลย เพราะเหตุว่าเราเกือบจะไม่รู้สึกตัวว่า เราติดในการเห็นสิ่งต่างๆ เพราะว่าเราชินมาตั้งแต่เด็ก และถ้าจะบอกเราว่าไม่ให้เห็น คือเหมือนจะตาบอด ทุกคนก็จะต้องกระวนกระวายเดือดร้อนแล้ว เพราะติดในสิ่งที่เห็นมาก มีตาสำหรับจะติดสิ่งที่ปรากฏ มีหูก็ติดในเสียงที่ปรากฏ มีจมูกก็ติดในกลิ่นที่ปรากฏ มีลิ้นก็ติดในรสที่ปรากฏ มีกายก็ติดในสิ่งที่กระทบสัมผัส มีใจก็คิดนึกติดในเรื่องต่างๆ ใครไม่เป็นอย่างนี้บ้าง มีไหมคะ ความจริงเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าสภาพธรรมที่เกิดดับทั้งหมดดับกิเลสของเราไม่ได้ แต่เพิ่มกิเลสของเราทุกวัน นี่เป็นสิ่งที่เกือบจะไม่รู้สึกตัวเลยว่า กิเลสของเราเพิ่มเมื่อไร เห็นขณะหนึ่งๆ ถ้าปัญญาไม่เกิด กิเลสก็เพิ่มแล้ว ได้ยินครั้งหนึ่งๆ ปัญญาไม่เกิด กิเลสก็เพิ่มแล้ว เพราะฉะนั้นไม่มีการรู้จักตัวเองเลยว่า กิเลสมากสักแค่ไหน
เพราะฉะนั้นธรรมอย่างเดียวที่จะดับกิเลสได้ก็คือนิพพาน แต่ไม่ใช่ใครจะถึงด้วยความต้องการ หรืออยากจะถึงก็รีบๆ ไปถึงนิพพาน ต้องเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่สามารถประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ให้ถูกต้องในสภาพที่เป็นธรรม