เป็นเรื่องละตั้งแต่ต้นจนจบ


    คุณศุกล ขอเรียนถามเรื่อง กุศลที่ประกอบด้วยปัญญา กับกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ซึ่งท่านอาจารย์เองก็เคยยกตัวอย่างให้ฟังแล้วว่า เช่นการให้ทาน ไม่มีปัญญาทานนั้นก็สำเร็จได้ หรือศีลก็เหมือนกัน สมมติว่าเป็นทานที่ประกอบด้วยปัญญา จะมีลักษณะอย่างไรจึงจะสังเกตได้ว่า ทานนั้นประกอบด้วยปัญญา

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วดิฉันไม่อยากให้เป็นเรื่องของพยัญชนะหรือคำพูด แต่อยากให้เป็นการระลึกรู้ได้จริงๆ ว่า ในขณะนั้นมีปัญญาหรือไม่มีปัญญา

    คุณศุกล ถ้ามีปัญญาจะมีลักษณะอย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ รู้ถูกต้องตามความเป็นจริง

    คุณศุกล ว่า

    ท่านอาจารย์ แล้วแต่สภาพธรรมขณะนั้นจะรู้โดยระดับใด เป็นความรู้ก็แล้วกัน ถ้าเห็นคนโรคเรื้อน ตาบอด และกำลังลำบากเดือดร้อน แล้วเราก็ให้เขา แล้วก็พิจารณาเห็นกรรมของเขา ใช่ไหมคะ ที่เขาเป็นคนโรคเรื้อน ตาบอด และลำบาก ใครทำให้ ไม่มีใครอยากจะเป็นเลย

    เพราะฉะนั้นการที่เราเห็นว่า นี่เป็นผลของกรรม เพียงเห็นเขา ก็รู้ว่า นี่เป็นผลของกรรม แล้วเวลาที่มีกุศลจิตเกิดคิดช่วยเหลือ ขณะนั้นเป็นกุศล เราก็ไม่ต้องมานั่งตรวจสอบจิตใจของเราว่าประกอบด้วยปัญญาหรือเปล่า จะเป็นกุศลประเภทไหน ไม่จำเป็นต้องคิดเลย ขณะใดเป็นปัญญาที่คิดเป็นไปในเรื่องของสภาพธรรม คือ เป็นเรื่องของกรรม ขณะนั้นก็เป็นปัญญา ขณะที่ให้ก็ให้ ขณะที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมก็ระลึกไป คืออย่าไปกังวล และความรู้ทั้งหมดในเรื่องธรรม จะเกิดกับตัวเอง เพราะว่าส่วนมากบางคนจะติด โลภะเขาไม่เคยทิ้งเรา อย่าลืมนะคะ ไม่ว่าเราจะขึ้นสวรรค์ชั้นสูงสุด หรือไปเป็นรูปพรหม อรูปพรหม โลภะก็ตามไป โลภะนั้นก็สนับสนุนให้ไปด้วย เพราะเหตุว่าเป็นกุศลที่เป็นไปในวัฏฏะ ใครที่ต้องการเกิดเป็นรูปพรหม ให้ทราบว่า ไม่ได้ต้องการดับความเกิด หรือใครเจริญกุศลเพื่อไปเกิดเป็นอรูปพรหม หรือเป็นเทพชั้นหนึ่งชั้นใด ให้ทราบว่า เป็นด้วยความต้องการที่จะเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ที่คนเจริญกุศล จะเห็นได้จริงๆ ว่า ถ้าเขาไม่เข้าใจพระธรรม ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สะอาดที่สุดด้วยปัญญา เพราะเหตุว่าเป็นไปเพื่อการละ เพียงประโยคนี้ “เป็นไปเพื่อการละ” ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้ทรงสอนว่า ทำอย่างนี้มากๆ เราจะได้บุญมากๆ เราจะได้ขึ้นสวรรค์ ไม่ได้สอนให้ทำอย่างนั้น แต่ทรงแสดงเหตุตามความเป็นจริงว่า ถ้าจิตผ่องใสเป็นเหตุ ผลก็มาก แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ไปติดในผล

    เพราะฉะนั้นคนที่ศึกษาพระธรรมต้องเป็นคนที่ตรง และเป็นคนที่สะอาดที่จะรองรับพระธรรมที่จะประพฤติปฏิบัติตามว่า ทั้งหมดเพื่อละ ถ้ามิฉะนั้นแล้วไม่มีทางเลย ก็ยังคงหวังผลด้วยประการต่างๆ เพราะฉะนั้นจะมีคำถามว่า ทำบุญอย่างนี้ ได้บุญมากไหม มาแล้ว ใช่ไหมคะ

    ทำไมถึงถามเรื่องผลของบุญว่า ทำอย่างนี้ได้บุญมากไหม ถ้าไม่อยากได้บุญมากๆ บุญอะไรก็บุญอันนั้น จะมากจะน้อยก็มีเหตุแล้ว คือว่าบุญนั้นได้กระทำแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งคิดใคร่ครวญบวกลบคูณหารรำพึงถึงว่า จะได้ผลมากไหม นี่ไปนั่งกังวลอีกว่า ผลจะมากไหม ถ้าไม่ติดเรื่องผล ก็ไม่น่ามานั่งถามกันว่า ผลมากไหม ก็แล้วแต่เหตุ ทุกอย่างแล้วแต่เหตุหมด ถ้าเป็นกุศลจิตที่ผ่องใส ถึงผลจะมากก็ไม่ติด มากก็มาก เดือดร้อนไหมคะอย่างนั้น ก็ไม่เดือดร้อน ไม่ต้องกังวลเลย

    เพราะฉะนั้นคนที่ถามว่า ทำอย่างไรเป็นกุศลญาณสัมปยุตต์ ก็เกือบจะไม่ต้องถามเลย พิจารณาเวลาที่สภาพของจิตเกิดขึ้นว่า มีปัญญาเกิดร่วมด้วยไหม แล้วไม่ใช่ไปติดในสิ่งนั้น ให้รู้ว่า ขณะใดที่เป็นปัญญาเกิดก็เกิด

    คุณศุกล ทีนี้ได้มาผู้สั่งสอน หรือมีผู้ชักชวนให้ทำบุญทำกุศล เปรียบเทียบถึงผลว่า อย่างนั้นอย่างนี้มีผลมาก เพราะฉะนั้นเวลานี้ ทุกวันนี้ก็เน้นให้มีการถวายสังฆทานกัน

    ท่านอาจารย์ เอาอย่างนี้นะคะ ถ้าดิฉันจะบอกว่าผลมากมาจากจิตที่บริสุทธิ์ จะทำจิตให้บริสุทธิ์กันไหม

    คุณศุกล ไม่แน่ครับ อาจจะมีผู้คิดว่า ถ้าทำจิตในบริสุทธิ์ผุดผ่องได้

    ท่านอาจารย์ คือไม่หวังผล

    คุณศุกล และเหตุจริงๆ ของกุศลที่จะมีผลมาก อานิสงส์มาก คือการฟังพระธรรมใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ จิตบริสุทธิ์

    คุณศุกล ก็เลยมานึกว่า ทุกวันที่เราฟังการบรรยายธรรมก็ดี หรือสนทนาธรรมก็ดี ก็ไม่ใช่ว่าจะมีความชื่นชมหรือเกิดปีติโสมนัส บางทีก็นั่งซึมไป ก็คงเหมือนพระภิกษุในครั้งนั้น ก็คิดไปต่างๆ นานา

    ท่านอาจารย์ แล้วแต่ความเข้าใจนะคะ แต่เชื่อได้ว่า ใครก็ตามที่ฟังแล้วเข้าใจ ผู้นั้นชื่นชม

    ผู้ฟัง ถึงแม้ว่าจะเล็กๆ น้อยๆ

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่เคยเข้าใจแล้วได้เข้าใจขึ้น จะไม่ชื่นชมหรือคะ


    หมายเลข 8203
    24 ส.ค. 2567