กว่าจะมาเป็น...เราคนนี้


    แต่ต้องเข้าใจตั้งแต่ขณะเกิดเลยค่ะ ที่เกิดมาคือจิตเกิด ขณะแรกที่สุดที่จะเป็นคนนี้ต้องมีจิตเกิด และจิตนั้นคือวิบากจิต คือจิตซึ่งเป็นผลของกรรม เราทำกรรมเยอะมาก ชาตินี้ก็เยอะ ชาติก่อนก็ไม่ทราบอายุเท่าไร ทำกรรมมามากน้อยเท่าไร ทำกรรมร้ายแรงขนาดไหนอย่างไร ก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้ และกรรมทุกกรรมก็มีโอกาสให้ผล ตราบใดที่ยังมีสังสารวัฏฏ์ แต่เฉพาะกรรมหนึ่งทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด

    กรรมทำให้วิบากจิตทำกิจปฏิสนธิ ตัวกรรมคือการกระทำเสร็จแล้ว หมดแล้ว ดับแล้ว อาจจะเป็นเมื่อเช้านี้ เมื่อวานนี้ เดือนก่อน ปีก่อน ชาติก่อน แสนโกฏิกัปป์มาแล้วก็ได้ เป็นกรรมที่ได้กระทำแล้ว แต่เป็นปัจจัยประเภทหนึ่งชื่อว่า “กัมมปัจจัย”

    เพราะฉะนั้นให้เห็นว่า สภาพธรรมแต่ละอย่างๆ จะมีปัจจัย คือสามารถทำให้สภาพธรรมอื่นเกิดขึ้น อย่างกรรมที่ทำไปแล้ว ดับแล้ว หมดแล้วก็จริง แต่จะเป็นกัมมปัจจัยที่จะทำให้วิบากจิตเกิดขึ้นทำกิจปฏิสนธิเป็นขณะแรก เราเลือกไม่ได้เลยว่าที่จะเกิดมาเป็นคนนี้ กรรมเราทำไว้เยอะมาก แต่กรรมหนึ่งทำให้เกิดมาเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ ชาติก่อนก็เป็นผลของกรรมไหนก็ได้ทำให้เกิดเป็นบุคคลหนึ่งในชาติก่อน จะมีลักษณะอย่างไรก็จำไม่ได้ แต่กรรมที่ทำมาแล้ว หลังจากที่เราตายก็จะเป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นเป็นอีกบุคคลหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นเราจะเป็นบุคคลนี้ชั่วชาตินี้เท่านั้นเอง จะสุข จะทุกข์ จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ จะลำบาก จะมีเรื่องเดือดร้อนก็เฉพาะในชาติที่เป็นบุคคลนี้ จนกว่าจะสิ้นสุดของกรรมที่ทำให้เป็นบุคคลนี้ แต่ให้ทราบว่าในขณะจิตแรกที่เกิด กรรมทำให้วิบากจิตเกิดพร้อมกับเจตสิกที่เป็นวิบาก พร้อมกับรูปที่เกิดเพราะกรรมนั้นเป็นสมุฏฐาน แสดงให้เห็นว่าก่อนจะมาเป็นเราคนนี้ ในขณะจิตแรกที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น กรรมทำให้กัมมชรูปเกิด ๓ กลุ่ม เล็กมากมองไม่เห็นเลย คือ ภาวทสกะ มีความเป็นหญิงหรือเป็นชายในรูปนั้นเกิดแล้ว แล้วก็มีกายปสาท เพราะเวลาที่มีรูปเกิดขึ้น จะมีการกระทบ มีการรู้สึกกระทบสัมผัสกับกายปสาทอีกกลุ่มหนึ่ง แล้วก็มีวัตถุทสกะ หรือวัตถุรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต เพราะในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตจะเกิดแยกกับรูปไม่ได้เลย ขณะนี้จิตกำลังเกิดขึ้นที่รูปแต่ละรูป ถ้าเป็นจิตเห็นก็เกิดที่จักขุปสาท ถ้าเป็นจิตได้ยินก็เกิดที่โสตปสาท และก็จะมีรูปๆ หนึ่งซึ่งเป็นที่เกิดของจิตส่วนมาก เรียกว่าหทยรูป แต่ให้ทราบว่า รูปเกิดเป็นกลุ่มๆ รูปเกิดรูปเดียวไม่ได้ เพราะฉะนั้นตอนที่ปฏิสนธิ จะมีรูป ๓ กลุ่ม เล็กๆ ที่มองไม่เห็น ทั้ง ๓ กลุ่มเกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน คือ กายทสกะ รูปที่มี ๑๐ รูปกลุ่มหนึ่งซึ่งมีกายปสาท อีกกลุ่มหนึ่งก็เป็นรูปที่มีรูปรวมกัน ๑๐ รูปซึ่งมีภาวรูปอยู่ด้วย และอีกกลุ่มหนึ่งเป็นรูป ๑๐ รูปรวมกันเป็นที่เกิดของจิต เป็นหทยทสกะ ๓ กลุ่ม

    นี่กว่าจะเป็นตัวเราที่นั่งอยู่ที่นี่ ซึ่งมองไม่เห็นเลย แล้วเวลาที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น จิตขณะหนึ่งๆ จะแบ่งเป็นขณะย่อย ๓ ขณะ ทั้งๆ ที่จิตเกิดดับอย่างเร็วมาก เกือบจะเรียกได้ว่า พอเกิดก็ดับ แต่แม้กระนั้นก็ยังแบ่งขณะของจิตที่เกิดขณะหนึ่งๆ ออกเป็นอนุขณะ ๓ ขณะได้ว่า ขณะเกิด คือ อุปาทขณะ ขณะดับ คือ ภังคขณะ ระหว่างเกิดกับดับเป็นขณะที่ตั้งอยู่ คือ ยังไม่ดับไป ชื่อว่า ฐีติขณะ

    เพราะฉะนั้นจิตขณะหนึ่งจะมี ๓ ขณะย่อย คือ อุปาทขณะ ฐีติขณะ และภังคขณะ แล้วเราก็ลองคิดดูว่า ทำไมเราต้องมานั่งพูดถึงปฏิสนธิจิตขณะสั้นๆ ขณะเดียว แล้วก็แบ่งออกเป็น ๓ ขณะย่อย ก็เพราะเหตุว่ากรรมที่ทำให้รูปเกิด ทำให้รูปเกิดทั้ง ๓ อนุขณะของจิต กว่าจะมาเป็นตัวเรา เดี๋ยวนี้ และในขณะที่เป็นฐีติขณะของปฏิสนธิจิต คือ ปฏิสนธิจิตยังไม่ดับ เพียงเกิดขึ้น อุปาทขณะแล้ว แล้วยังไม่ถึงภังคขณะ ในฐีติขณะมีอุตุ หรือความเย็นความร้อน เตโชธาตุ ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้เกิดรูปอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำให้ร่างกายของเราเจริญเติบโตขึ้น ไม่ได้มีแต่เพียงรูปที่เกิดจากกรรม แต่มีรูปที่เกิดจากอุตุ หลังจากที่อุปาทขณะของปฏิสนธิจิตแล้ว ในฐีติขณะนั้นเองจะมีอุตุชรูป แต่ละคนจะมีธาตุไฟที่ไม่เสมอกัน เป็นเหตุให้รูปที่เกิด ทั้งๆ ที่จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม สูงต่ำดำขาวต่างกันหมด เพราะอุตุชรูป กัมมชรูปก็ทำให้เพียงจักขุปสาทเกิด โสตปสาทเกิด ชิวหาปสาทเกิด ฆานปสาทเกิด กายปสาทเกิด พวกนี้ที่เกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน แต่ส่วนประกอบอื่นเกิดจากอุตุ

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า เราไม่มีทางเลือกเลยว่า เราจะเป็นอย่างนั้นหรือจะเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุว่ากรรมจำแนกทำให้ปฏิสนธิเป็นวิบากของกรรมหนึ่งกรรมใด พร้อมกับกรรมนั้นทำให้กัมมชรูปเกิด ทั้งๆ ที่มองไม่เห็น เป็นแมวได้ไหมคะ ก็ไม่เห็นเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกแมว ลูกสุนัข ลูกคน ลูกช้าง เพราะขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด กัมมชรูปเล็กมากมองไม่เห็น แต่กรรมนั่นเองก็ทำให้รูปเกิด แล้วแต่ว่าจะเป็นรูปคน รูปสัตว์ ก็ตามแต่ แล้วก็เจริญเติบโตมาจนกระทั่งมานั่งอยู่เดี๋ยวนี้ ที่นี่ มีทั้งรูปที่เกิดจากกรรม มีทั้งรูปที่เกิดจากจิต มีทั้งรูปที่เกิดจากอุตุ มีทั้งรูปที่เกิดจากอาหาร


    หมายเลข 8207
    24 ส.ค. 2567