เพราะมีการคิดนึกหลังเห็น


    คุณศุกล เวลาที่เรามีการสังเกตว่ารูปทางตามีลักษณะ คือเป็นสี โดยยังไม่ต้องคิดว่าเป็นสีใดสีหนึ่ง แต่สีที่ว่าปรากฏ ขณะนี้เป็นการคิดนึกเสียมากกว่าที่สติจะเกิดจะมีการพิจารณาว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูป เสียงที่ปรากฏทางหูเป็นรูป กลิ่นที่ปรากฏทางจมูกเป็นรูป ถ้าสมมติว่าขณะที่สติยังไม่เกิด ก็ต้องเป็นไปกับความคิดทั้งหมดเลย ท่านอาจารย์คิดว่า สิ่งที่จะช่วยให้เราเข้าใกล้สภาพของปรมัตถธรรม จะมีการพิจารณาหรือสังเกตอย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ คือเมื่อกี้ที่ว่า พอเห็นแล้วเป็นสีต่างๆ ความจริงแล้วก็ดูเหมือนว่า เราก็ไม่ได้นึกถึงสีด้วยซ้ำไป เวลาเห็น ไม่ได้นึกถึงสีเลย เห็นเท่านั้นใช่ไหมคะ เรานึกหรือเปล่าว่า เรากำลังเห็นสี แต่มีเห็นแน่ๆ และก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่เราไม่เคยรู้จักเลยว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็น จริงๆ แล้วคืออะไร

    นี่คือสิ่งที่อวิชชามีอยู่ตั้งแต่เกิด เพราะเหตุว่าเมื่อเห็นก็ไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏจริงๆ เวลานี้ใครจะมาบอก หรือจะถามกันถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา ทั้งๆ ที่กำลังมีอยู่เวลานี้ แล้วก็เป็นอะไร พอบอกว่าเป็นสี ก็เลยรู้สึกว่ามีสีต่างๆ แล้วพอบอกว่านึกถึงสี ก็เลยคิดถึงสีต่างๆ ที่กำลังปรากฏ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น นี่เป็นของที่แน่นอนที่สุด

    ขณะนี้เราเป็นคนที่เหมือนกับยังไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น กำลังเริ่มที่จะรู้ และก็รู้ด้วยตัวของเราเองจริงๆ ค่อยๆ เข้าใจจริงๆ ว่า ในขณะนี้ที่เห็นมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แค่นี้ ยังไม่ต้องนึกถึงคำว่า “สี” ยังไม่ต้องนึกถึงคำว่า “รูปร่างสัณฐาน” หรืออะไรเลย แต่เวลานี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น นี่ถูกไหมคะสำหรับทุกคนที่กำลังเห็น แค่นี้ก่อนนะคะ ยังไม่นึกถึงสี ไม่นึกถึงแสง ไม่นึกถึงอะไรทั้งนั้น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นต้องเป็นของจริง เราไม่ได้ฝัน หรือเราไม่ได้นึก แต่ว่ามีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ให้เห็น แต่ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะว่ายากมากที่จะเข้าใจให้ตรงจริงๆ ว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาเท่านั้น ที่จะละการยึดถือว่าเป็นคน เป็นวัตถุ เป็นโลก เป็นดาว เป็นพระอาทิตย์ ยากเหลือเกิน เพราะเหตุว่าในความรู้สึกหรือในความทรงจำของเรา พอเห็น ตั้งแต่เล็กมา เราก็ค่อยๆ เริ่มรู้จักสิ่งที่ปรากฏโดยรูปร่างสัณฐานต่างๆ จนกระทั่งมันฝังลึกอยู่ในใจของเราว่า มีสิ่งต่างๆ เหล่านั้นแน่นอน นี่คือสิ่งที่เก็บไว้ในหัวใจ ในจิตในใจสืบต่อกันมาเรื่อยๆ แม้จนในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ชาติก่อนก็อย่างนี้แหละ และชาติก่อนก็ไม่ใช่ชาติเดียว เพราะฉะนั้นชาติก่อนๆ ก็อย่างนี้แหละ

    เพราะฉะนั้นที่จะให้เห็นว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาที่มีจริง เราควรจะเข้าใจให้ถูกต้อง คำว่า “ถูกต้อง” ที่นี่ก็คือว่า เป็นเพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่ง มีจริงๆ และปรากฏเมื่อกระทบกับตา คือ จักขุปสาทเท่านั้นเอง สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้จึงปรากฏได้ มิฉะนั้นแล้วไม่มีทางเลย นึกถึงคนตาบอด ไม่มีทางเลยที่จะเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะอะไร เพราะไม่มีจักขุปสาท

    เพราะฉะนั้นสำหรับเขา สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ไม่มี สำหรับเราก็เหมือนกัน ถ้าเกิดตาบอดในขณะนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ก็ไม่มี แต่เพราะตาไม่บอด กรรมทำให้จักขุปสาทเกิดแล้วก็ดับ แม้ว่าจะเร็วสักเท่าไรก็ตาม กรรมก็ยังทำให้จักขุปสาทเกิดอีก ดับอีก เกิดอีก ดับอีก อยู่เรื่อยๆ เพื่อกระทบกับสิ่งที่สามารถกระทบกับจักขุปสาทได้ ซึ่งหมายความถึงสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ปรากฏเพราะกระทบกับตาจึงได้ปรากฏ

    นี่คือความจริงซึ่งสั้นมาก และเร็วมาก ที่จะรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ลักษณะนี้เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏเมื่อกระทบกับจักขุปสาท ก็ต้องฟังไปจนกว่าความเข้าใจจะเพิ่มขึ้นจริงๆ จากขั้นฟังแล้วพิจารณาว่า จริงนะ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ปรากฏแล้วเราก็นึกเอา นึกเป็นคนนั้น นึกเป็นคนนี้ นึกเป็นสถานที่นั้น นึกเป็นสถานที่นี้จากสิ่งที่ปรากฏทางตา แสดงว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างหนึ่ง และความคิดนึกของเราเป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเราทุกคนจะหลับตาเวลานี้ เราจะนึกเรื่องอะไรก็ได้ทั้งหมด แต่จะไม่ปรากฏเหมือนกับสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นต้องแยกให้ออก สภาพธรรมแต่ละขณะจิต คือ ชั่วหนึ่งขณะซึ่งเกิดแล้วก็ดับ ซึ่งพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านต้องประจักษ์ ถ้าท่านไม่ประจักษ์แล้วก็เหมือนกับปุถุชนธรรมดา ซึ่งเห็นแล้วยังเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ยังไม่สามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้

    เพราะฉะนั้นเราก็ต้องฟังแล้วฟังอีก ฟังไปจนไม่รู้ว่าจะเบื่อหรือไม่เบื่อ สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏเพราะกระทบกับจักขุปสาทชั่วเวลาเล็กน้อย และก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งมีจริง เพียงปรากฏทางตา

    เพราะฉะนั้นหน้าที่ของการอบรมเจริญปัญญาก็คือว่า ค่อยๆ ทิ้งความเป็นสัตว์ บุคคล หรือความคิดนึกจากสิ่งที่กำลังปรากฏว่า คนละขณะ ความคิดนึกก็จริงว่า มีคน มีสัตว์ เป็นความคิดนึก นั่นจริง แต่ไม่ใช่ขณะเห็น นี่ต้องแยกออก สภาพธรรมที่เป็นจริงขณะเห็นก็คือเห็น หลังจากนั้นก็คือคิดนึก ไม่ใช่ไม่มีการคิดนึก มีการคิดนึกหลังเห็น

    เพราะฉะนั้นเพราะไม่แยก จิตซึ่งเกิดดับสืบต่อกันอย่างเร็วมาก ก็ทำให้มีความทรงจำว่า ยังมีตัวตน มีสัตว์ มีบุคคลอยู่ แต่ถ้าแยกออกเป็นจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดขึ้นรู้อารมณ์ คือ สิ่งที่ปรากฏให้จิตรู้ทีละลักษณะเท่านั้นเอง แล้วก็ดับไป ก็ไม่มีอะไรเหลือ ถ้าประจักษ์จริงๆ ว่า ขณะเมื่อกี้นี้ก็ดับแล้ว ขณะที่เห็นในขณะนี้ก็กำลังดับ ขณะที่ได้ยินนี่ก็ดับ จะมีอะไรเหลือ นอกจากมีเหตุปัจจัยทำให้สภาพธรรมเกิดอีก และก็ปรากฏสั้นๆ แล้วก็ดับไป


    หมายเลข 8217
    15 ส.ค. 2567