มีใครในโทรทัศน์
ผู้ฟัง เท่าที่อาจารย์อธิบาย ผมก็พยายามฟังทุกคำพูด ผมเข้าใจขณะนี้ว่า สติที่จะระลึกสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามีความเข้าใจเรื่องของสภาพธรรม
ท่านอาจารย์ มีความเข้าใจ และมีความมั่นคงว่า ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่มีความพยายามที่จะไปสร้างหรือไปทำขึ้นมา เพราะว่าขณะนี้ธรรมปรากฏ “อนุ” แปลว่า “ตาม” รู้ตามที่ปรากฏ ที่เป็นอยู่ ที่มีจริง ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นก็ระลึกปกติ สิ่งที่มีจริง ถ้ามีความเข้าใจก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละน้อย จะหมดความสงสัยว่า เป็นคน เป็นศาลาทันทีไม่ได้ แต่ต้องรู้ความต่างว่า ขณะที่เห็นก็คือชั่วขณะที่สีสันวัณณะต่างๆ ปรากฏ
เพราะว่าแม้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่มีใครยับยั้งความคิดได้เลย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี หรือปุถุชนเหมือนกัน คือหลังจากที่ทางตาเห็น ภวังคจิตเกิดคั่น ทางใจก็รู้สิ่งที่ปรากฏต่อ แต่ความรู้ของคนที่ไม่ได้อบรมปัญญากับความรู้ของคนที่อบรมปัญญาต่างกัน ความรู้ของคนที่ไม่ได้อบรมปัญญารู้เรื่อง รู้ชื่อ รู้คำ รู้ความหมาย แต่ความรู้ของคนที่เริ่มอบรมปัญญา ก็รู้ว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรมจริงๆ และความคิดนึกก็คิดถึงคน ถึงสิ่งต่างๆ จากสิ่งที่ปรากฏ เอาเรื่องเอาราวทั้งหมด เอารูปร่างสัณฐานทั้งหมดมาจากสิ่งที่ปรากฏเร็วมาก พอออกไปจากที่นี่ คิดถึงอะไรก็ได้ แต่สีสันวัณณะไม่ได้ปรากฏ แต่เรื่องราวปรากฏ ทุกครั้งที่เราคิด เวลาที่เราไม่เห็น ไม่ว่าจะคิดถึงอะไรก็ตาม จะคิดได้เพียงส่วนที่ทรงจำไว้ในรูปร่างสัณฐาน ถ้าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้นก็แยกได้ว่า สีสันวัณณะที่ปรากฏทางตานี่อย่างหนึ่ง และความคิดของเราซึ่งไปนั่งคิดว่า มีคน มีสัตว์ในสิ่งที่ปรากฏทางตานี่อีกอย่างหนึ่ง
ก็มีเรื่องจริงนะคะ ซึ่งก็คงจะเล่าได้ เพราะเราไม่ได้กล่าวถึงบุคคลหนึ่งบุคคลใด ท่านผู้นี้ก็แขวนผ้าเช็ดตัว ที่ผ้าเช็ดตัวก็มีรูปไก่ และเขาก็สงสารไก่ เพราะว่าหัวมันกลับ
คิดดูถึงความวิจิตรของคน มีรูปไก่ที่ผ้าเช็ดตัว ตราไก่ แล้วพอแขวนผ้าเช็ดตัว ไก่ก็หัวคว่ำ ก็เลยสงสารไก่ที่หัวคว่ำ ก็เลยบอกเขาว่า เรื่องธรรมดา เพราะอะไรคะ ก็เราดูโทรทัศน์ มีใครในโทรทัศน์ มีละคร เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นคนโน้น คนนี้ ทารุณตบตี หรือด่าว่ากัน ไม่มีอะไรเลย แล้วเราก็นั่งคิดเป็นชื่อเสียงเรียงนาม เป็นคนนั้นคนนี้ ก็ไม่ผิดจากไก่ที่หัวคว่ำอยู่ที่ผ้าเช็ดตัว ใช่ไหมคะ นี่คือโทรทัศน์ซึ่งมันไม่มี แต่ก็หลอกให้ความทรงจำของเราจำไว้หมด คนนี้ออกมาแล้ว กำลังพูดกับคนนั้น คนนี้เป็นพ่อ คนนี้เป็นแม่ เป็นเพื่อน ออกมาหมดเลย
ชีวิตจริงขณะนี้ก็คืออย่างนั้น คือ เมื่อลืมตาแล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏ แล้วเราก็ไปทรงจำ ซึ่งความจริงไม่มีเลย สิ่งที่ปรากฏดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย ความคิดของเราแต่ละเรื่อง แต่ละคำ คิดถึงเรื่องอะไร มีสิ่งนั้นชั่วขณะที่คิด และไม่เป็นตัวตนได้จริงๆ เพราะแค่คิด เราจะคิดถึงส้มสักหนึ่งลูก ส้มนั้นมีที่ไหนในความคิด ไม่มีเลย แต่พอคิดนี่มีส้ม แต่ส้มจริงๆ ไม่มี แต่จำไว้จากสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วก็เหมือนว่าสิ่งนั้น ถ้าเป็นคนที่รู้จักกัน เป็นสุนัข เป็นลิง อะไรก็แล้วแต่ เราก็คิดว่า สิ่งนั้นมีจริงๆ แต่ความจริงไม่มีเลย
เพราะฉะนั้นสัญญา ความจำของเราเป็นอัตตสัญญามาตลอด จำว่ามีสิ่งที่ไม่มี แล้วก็คิดว่า มีอยู่ แต่ความจริงสิ่งนั้นไม่มีเลย เพียงเราหลับ ไม่มีอะไรเหลือ แล้วถ้าตายไป ก็หมดเลยความจำในทุกสิ่งทุกอย่าง จะไม่กลับมาอีกเลย แต่พอตื่น สัญญา ความจำ ที่เคยจำไว้วันก่อน ก็สามารถนึกได้ เกิดขึ้นได้
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของวิถีจิตกับจิตที่ไม่ใช่วิถี คือ เมื่อเกิดไม่ใช่วิถีจิต จนกว่าจะมีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การนึกคิดเมื่อไร ก็เป็นเรื่องราวเมื่อนั้น และพอเป็นภวังค์ ก็ไม่มีอีก แต่มีความจำที่เป็นอัตตสัญญา ไม่เคยลืม แสนโกฏิกัปป์มาแล้วที่จำว่ามี ก็ยังมีเหมือนมี จนกว่าความรู้จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ ไม่ใช่การคิดนึกว่าเป็นสิ่งใด แต่มีการคิดนึกเกิดสืบต่อแน่นอน และมีการจำไว้อย่างมั่นคง จนว่าสัญญาที่จำอัตตสัญญามั่นคงจะค่อยๆ ลดลงด้วยปัญญา
เพราะฉะนั้นจะนานสักแค่ไหน และเป็นของจริงสักแค่ไหน ที่สามารถจะรู้ความจริงได้ ไม่ว่าจะลืมตา หลับตาที่ไหนก็ตาม ก็มีการอบรมที่จะรู้ว่า ตอนที่เป็นภวังค์ สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่มี แล้วเกิดมีขึ้นได้ นี่น่าอัศจรรย์ของความเป็นธาตุซึ่งมากระทบกัน และทำให้เกิดการเห็นทางตา แล้วก็หมด สำหรับผู้ประจักษ์แจ้งจริงๆ แล้วก็รู้เป็นภวังค์ แล้วมโนทวารก็สืบต่อ สิ่งที่ปรากฏทางปัญจทวารทั้งหมด ทางมโนทวารรู้ต่อ เหมือนกันหมดเลย
เพราะฉะนั้นก็มีความเข้าใจสามารถรู้ได้ว่า ทางมโนทวารรับสิ่งที่ปรากฏทางปัญจทวารจริงๆ ทุกอย่างที่ทรงแสดงเป็นความจริง แต่ต้องเป็นความจริงที่ต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง แล้วต้องเป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งไม่มีการไปรู้สิ่งอื่น นอกจากสิ่งที่กำลังปรากฏ