เพราะรู้จึงละ
พระศุภกร ถ้าอย่างนั้นผู้ที่สมาทานอุโบสถศีล จะถือว่าเขาโลภะบ้างได้บ้างไหมครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องมีพระพุทธศาสนาก็มีศีล มากกว่า ๕ ข้อก็ได้ ทานก็มี ศีลก็มี ความสงบของจิตระดับถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ สูงกว่าขั้นทาน ขั้นศีล ก็มี แต่ไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เป็นไปด้วยการละ
พระศุภกร ก็ไม่ชื่อว่า ละโลภะ ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เลย ถ้าละ ก็คือมีปัญญารู้ ปัญญาเกิดเมื่อไร ก็ละเมื่อนั้น
พระศุภกร ที่จะกล่าวว่า ละโลภะได้ก็เพราะปัญญาต้องเกิดก่อน เพราะหน้าที่ของผู้จะละโลภะได้ ไม่ใช่เราละ แต่เพราะปัญญาเกิดขึ้น ปัญญาจึงละโลภะได้
ท่านอาจารย์ เพราะรู้จึงละ
พระศุภกร อันนี้ไม่มีการพูดถึงเลย พอบอกว่าละโลภะ ก็นุ่งขาวห่มขาว ถ้าเป็นผู้ชายก็ออกบวช บวชแล้วยังไม่พอ ต้องเข้าป่าอีก เพื่อจะละโลภะ
ท่านอาจารย์ โลภะเห็นยากเพราะลึกซึ้ง หรือลึกซึ้งจึงเห็นยาก
พระศุภกร ขณะที่สติเกิดขึ้น โอกาสที่โลภะจะเกิด ก็เป็นไปได้ธรรมดา แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็นโลภะ ก็ไม่มีโอกาสได้ละ
ท่านอาจารย์ ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นอาการ ๓ รอบ ก็คือจะต้องประคองไปตลอดหมดจะลืมไม่ได้เลย ถ้าลืม ขณะนั้นมีเครื่องกั้นทันที
ผู้ฟัง ทำไมจึงกล่าวเฉพาะโลภะครับ โทสะ โมหะ ไม่ได้กล่าวถึงเลย หมายความว่าอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ อวิชชา ความไม่รู้ เป็นเหตุให้เกิดโลภะด้วย โทสะด้วย อวิชชาไม่รู้อะไรเลย แต่โลภะติดข้อง เพราะฉะนั้นเป็นเหตุให้เกิดสังสารวัฏฏ์ด้วยความติดข้อง ไม่ใช่เพียงแค่ไม่รู้ ยังติดด้วย ลักษณะของความไม่รู้กับลักษณะของติด ไม่เหมือนกัน ใช่ไหมคะ ไม่รู้ก็คือไม่รู้ ไม่มีแม้แต่ความติดข้อง ไม่รู้จริงๆ ไม่รู้ทั้งนั้น ไม่ติดด้วย แต่โลภะเป็นสภาพที่ติดข้อง ต้องการ แสวงหา เพราะฉะนั้นก็สร้างสังสารวัฏฏ์เรื่อยไป
ผู้ฟัง แล้วตัวโทสะล่ะครับ
ท่านอาจารย์ โทสะ เมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ถ้าไม่มีโลภะ ไม่ต้องพูดถึงโทสะเลย และเฉพาะโทสะเกิด เมื่อต้องการรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ถ้าไม่มีความต้องการรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็ไม่เป็นปัจจัยให้โทสะเกิด เวลาโทสะเกิดขณะใด หมายความว่าเพราะเรายังยึดมั่นต้องการในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เช่น ต้องการเสียงชม ไม่ได้เสียงชม โทสะเกิด
ผู้ฟัง เมื่อโมหะเกิดขึ้นเป็นเหตุใช่ไหมครับ เหตุให้เกิดโลภะ เกิดโทสะ ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ เพราะฉะนั้นอกุศลจิตทุกประเภท ต้องมีโมหมูลจิตเกิดร่วมด้วย