เหลือเพียงสิ่งที่ปรากฎ
ผู้ฟัง รู้สึกว่าโลภะจะละเอียดตามเราขึ้นไป โดยรู้สึกว่านำหน้าเราอยู่ตลอดเวลา
ท่านอาจารย์ ถ้าคนที่ไม่มีสติปัฏฐานเลย ฟังเรื่องโลภะ เรียกชื่อโลภะถูก พออร่อยก็โลภะ พอสนุกก็โลภะ แต่โลภะ หรือเห็น หรือคิดนึก หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่สามารถรู้ลักษณะแท้ๆ ได้ เพียงแต่เรียกชื่อ เพราะเขาสั้นมาก ละเอียดมาก เร็วมาก อย่างรูปๆ หนึ่งมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ขณะที่เห็นกับได้ยินซึ่งเหมือนพร้อมกัน จิตเกิดดับเกิน ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นรูปๆ หนึ่งจะดับเร็วสักแค่ไหน นั่นคือรูป แต่นามธรรม ลองคิดดูว่า จะยิ่งสั้น และละเอียดกว่านั้นสักแค่ไหน แต่ก็มีการเกิดดับสืบต่อให้สามารถจะระลึก และค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมว่า ลักษณะนั้นเป็นสภาพรู้ ลักษณะนี้เป็นรูปธรรมแต่ละลักษณะ ทางตาก็อย่างหนึ่ง กำลังปรากฏ ก็เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งมีจริง ทางหู ก็มีสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ถ้ากลิ่นปรากฏ ก็เป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง รสปรากฏ ก็คือสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง เย็นหรือร้อน ก็อีกอย่างหนึ่ง
เพราะฉะนั้นก็คือสภาพธรรมทั้งหมด ซึ่งปรากฏสั้นๆ เล็กๆ นิดเดียว ถ้าจะอุปมาเหมือนกับเราอยู่ในความมืดสนิท และมีปสาท ๕ แห่ง แต่ทางกายซึมซาบอยู่ทั่วตัว แต่เวลาปรากฏจะไม่มีทั้งตัว เฉพาะตรงที่ปรากฏเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นการเพิกอิริยาบถซึ่งมันไม่มี เพราะว่าจิตจะเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ แล้วก็รู้เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏ อย่างขณะที่กำลังนั่ง ทุกคนเห็น ปอดปรากฏไหม หัวใจปรากฏไหม เลือด เนื้อ ฟัน แขน เท้าปรากฏไหม ไม่ปรากฏนะคะและแม้อ่อนหรือแข็งยังไม่ปรากฏในขณะที่จิตกำลังเห็น
นี่คือความรวดเร็ว นี่คือความที่จะไม่มีตัวตนเลย ตัวตนซึ่งใหญ่ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จะสูงกี่ฟุตก็แล้วแต่ แต่เวลาที่จะไม่มีตัวตน จะไม่มีเหลือเลย ไม่มีจริงๆ ขณะนี้คือความจริง แต่ปัญญาไม่ได้ประจักษ์ เพียงแต่กำลังคิดว่าจริง ขณะนี้ไม่มีอะไรปรากฏถ้าเห็น ก็มีแต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าได้ยินก็เฉพาะเสียง อย่างอื่นจะมารวมอยู่ตรงจิตที่กำลังรู้เสียงนี่ไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้นจากเราทั้งตัว ความจริงก็เหลือนิดเดียว คือ เฉพาะสิ่งที่ปรากฏ เมื่อนั้นถึงจะทำลายความเป็นตัวตนที่รวมอยู่ทั้งตา หู จมูก ลิ้น แขน ขา ศีรษะ ผม เท้า อะไรทั้งหมด ซึ่งเป็นความทรงจำ แต่นี่เป็นอัตตสัญญา เพราะทรงจำ ถ้าเป็นอนัตตา เขาก็เริ่มทรงจำสภาพที่ไม่มีตัวตน แต่มีลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมที่สติกำลังระลึก และเป็นอย่างนั้นจริงๆ เวลาที่เป็นวิปัสสนาญาณประจักษ์หมดเลย ไม่มีเหลือ เหลือแต่เฉพาะสภาพที่เป็นธาตุรู้กับสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น จึงจะเห็นว่า นั่นคือไม่มีเรา ไม่ใช่ขั้นคิด ไม่ใช่ขั้นพิจารณาไตร่ตรอง แต่เป็นขั้นที่สภาพนั้นปรากฏให้เห็นความจริงว่าเป็นอย่างนั้น เป็นจุดตั้งต้นของอนัตตสัญญา ซึ่งจะต้องพิจารณานามรูปต่อไปอีก ต่อไปอีก ต่อไปอีก เพราะกิเลสมากมายเหลือเกิน