สะสมความเข้าใจให้มั่นคง
ผู้ฟัง แข็งเป็นเรา รวมทั้งแข็งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นสิ่งเดียวกันไหมครับ
ท่านอาจารย์ แข็งนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนอยู่แล้ว อย่างไรๆ แข็งก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
ผู้ฟัง แต่ท่านอาจารย์บอกว่า แข็งไม่ใช่เรา แข็งก็เป็นพื้น พื้นก็เป็นเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน
ท่านอาจารย์ ไม่ค่ะ แข็งเป็นแข็ง แต่ความทรงจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมี สัญญาวิปลาส ไม่ได้จำถูกว่าเป็นเพียงแข็ง
ผู้ฟัง อาจารย์ว่าเป็นพื้น
ท่านอาจารย์ ไม่ได้จำว่าเป็นแข็ง ไม่ได้จำว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่ง
ผู้ฟัง ถึงแม้จะไม่ใช่เราก็ตาม แล้วนามธรรมเป็นเราไหมคะ
ท่านอาจารย์ แล้วกำลังเห็นนี่ใครเห็น
ผู้ฟัง เราเห็น
ท่านอาจารย์ ใครได้ยิน
ผู้ฟัง แต่ตอบตามที่เรียนมาก็ไม่ใช่เราจริงๆ
ท่านอาจารย์ ตอบตามเรียนก็คือปริยัติ ถ้าแค่ปริยัติทำให้คนหมดกิเลสได้ ก็ง่ายไป ใช่ไหมคะ ไม่ต้องมีวิริยะ ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เรียนก็ดับกิเลสหมด ง่ายไปหรือเปล่า และแบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า
ผู้ฟัง แค่เรียนก็ยังไม่เข้าใจแล้วครับ
ท่านอาจารย์ นั่นซิคะ แล้วจะไปดับอะไร
แต่วาจาของผู้มีมั่นคงในวาจาจริงๆ ไม่ว่าในยามไหนก็ยังระลึกได้ อันนั้นก็เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นปัจจัยให้พ้นจากอันตรายต่างๆ ได้ แต่เชื่อกรรม และผลของกรรมนี่ดีที่สุด
ผู้ฟัง หมายความว่ามีความเข้าใจในกรรม และผลของกรรม
ท่านอาจารย์ มีความมั่นคงในธรรม ซึ่งเราเปรียบเทียบดูว่า พอลำบากทุกข์ยากขึ้นคิดถึงอะไรก็แล้วแต่ และมั่นคงขนาดไหน แล้วมั่นคงหรือไม่มั่นคง แค่ขอให้เราพ้นทุกข์ แค่นี้มั่นคงหรือเปล่า ที่จะนึกถึงธรรมที่เป็นสัจจะ ต่างกันไหม
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์หมายถึงขณะที่เรามีความทุกข์ เราก็เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่เราทำขึ้นมาเอง เป็นกรรมของเรา เรามั่นคงในลักษณะที่ยอมรับ
ท่านอาจารย์ คืออย่างไรก็ตาม วิบากทั้งหลายต้องเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย แต่กรรมมีเยอะมากทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นถ้าเราตกอยู่ในฐานะที่ไม่มีอะไรจะช่วยได้ สิ่งที่จะช่วยได้ต้องเป็นกุศลกรรม แต่กุศลกรรมจะให้ผลในขณะนั้นหรือไม่ ถ้าเรามีความมั่นคงหนักแน่นจริงๆ เราระลึกถึงธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ระลึกถึงตัวเราเฉยๆ ว่า อยากจะพ้น ขอให้พ้น ยกมือสาธุท่วมหัวขอให้พ้น แต่เราไม่มีความเข้าใจมั่นคงอย่างนั้นเลย ใช่ไหมคะ
นี่คือกว่าระดับของความมั่นคงอย่างนี้จะมีได้ ไม่ว่าในยามใดที่เรามีอะไรเกิดขึ้น แล้วเราระลึกถึงกุศล ระลึกถึงสัจจะ แล้วแต่อะไรจะเกิด ก็คือความจริงของธรรมก็คืออย่างนี้ มีที่พึ่งอันนี้ ถ้ากุศลนั้นมีปัจจัยทำให้สิ่งที่แคล้วคลาดจากสิ่งที่เป็นอันตรายเกิดก็ได้ เราไม่รู้ว่า กรรมอันไหนจะให้ผล แต่เจตนาอันนี้ก็เป็นอันหนึ่งซึ่งทำให้กุศลกรรมให้ผลได้
เกิดมาแล้วก็ต้องตาย เกิดมาแล้วก็ต้องเจ็บ เกิดมาแล้วก็ต้องมีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ถ้าประเสริฐกว่านั้นก็คือ ระลึกลักษณะที่เป็นธรรม ที่ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่ทำให้พ้นจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้เด็ดขาดแน่นอน เมื่อเป็นพระอริยบุคคล