ต้องรู้ว่าเข้าใจระดับไหน


    เพราะฉะนั้นทุกคนที่กำลังฟัง ไม่ว่าจะฟังเมื่อไร ที่ไหน ก็สามารถรู้ปัญญาของตัวเองว่า เข้าใจได้ระดับใด เช่นคำว่า “ธรรม” คำเดียว เข้าใจระดับไหน มีใครจะตอบไหมคะ ผู้ที่ศึกษาปรมัตถธรรมแล้วต้องตอบได้

    ธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง จริงเมื่อไร เมื่อกำลังปรากฏ ถ้าขณะนี้ไม่ปรากฏ สิ่งนั้นจริงหรือเปล่าคะ จริงไม่ได้ เพราะไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นถึงแม้จะรู้ว่า ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ก็ต้องจริงในขณะที่ปรากฏ และถ้าธรรมนั้นไม่เกิด จะปรากฏได้ไหมคะ ไม่ได้ นี่คือความที่เริ่มจะลึกซึ้ง คือ สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏต้องเกิด และถ้าศึกษาต่อไปจะรู้ว่า การเกิดของสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาหรือเป็นเจ้าของเลย

    เพราะฉะนั้นธรรมจึงต้องสอดคล้องกัน “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา” ถูกต้องตรงที่สุด ไม่ว่าใครจะยกธรรมหนึ่งธรรมใดขึ้นมา ก็จะเห็นความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมนั้นๆ เมื่อมีความเข้าใจธรรมที่มีจริง กำลังปรากฏ โดยความเป็นอนัตตา และเมื่อการที่ธรรมหนึ่งธรรมใดจะเกิดต้องมีปัจจัย

    นี่แสดงให้เห็นสอดคล้องกันแล้วใช่ไหมคะว่า บังคับบัญชาไม่ได้ ถ้าไม่มีปัจจัยของสภาพธรรมใด สภาพธรรมนั้นก็เกิดไม่ได้ ต้องมีปัจจัยของสภาพธรรมนั้น สภาพธรรมนั้นๆ จึงเกิดได้

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ไม่ใช่ศึกษาเพียงตัวหนังสือ แต่ต้องเข้าใจว่า สิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ต้องทรงตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ แล้วคนอื่นไม่สามารถจะมีความเข้าใจที่ถูกต้องในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้นได้ เมื่อทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงวาระที่จะทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็รู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงที่ทรงตรัสรู้ มีลักษณะที่ลึกซึ้ง ซึ่งยากที่ใครจะรู้ตามได้ และถ้าเราไม่ศึกษา เราอาจจะคิดว่า ไม่น่าจะยากถึงอย่างนั้น แต่ถ้าศึกษาแล้วเริ่มเห็นว่า สิ่งที่เราเคยคิดว่าเรารู้นั้น เป็นความไม่รู้ทั้งนั้นเลย ไม่รู้ว่าเสียงเป็นธรรม ไม่รู้ว่ากลิ่นเป็นธรรม ไม่รู้ว่าโกรธเป็นธรรม ไม่รู้ว่าความเมตตาเป็นธรรม คือไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม ซึ่งใครจะเรียกชื่อ หรือไม่เรียกชื่อเลย สภาพธรรมนั้นก็มี คือ เกิด ปรากฏ ไม่ต้องเรียกชื่อ แต่ใครก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่ได้พูดโดยชื่อว่า โต๊ะ เก้าอี้ หนังสือ แต่ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมนั้น ไม่ต้องใช้ชื่อ เช่น แข็ง ปรากฏเมื่อกระทบกับกายปสาท ส่วนหนึ่งส่วนใดก็ได้ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ลักษณะที่แข็งปรากฏ จะใช้ภาษาไทยว่าแข็ง จะใช้ภาษาไหนๆ ก็ได้ หรือไม่ใช้เลย ก็ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมที่แข็งนั้นได้

    นี่ก็คือความหมายของธรรมซึ่งตรงกับคำว่า “ธาตุ” หรือ “ธา - ตุ” ซึ่งเป็นสภาพธรรมซึ่งมีจริง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ของใคร มีปัจจัยเกิดปรากฏแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นการที่เราจะเข้าใจว่า เรากำลังศึกษาอะไร ก็คือศึกษาสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วไม่เคยรู้ แล้วไม่เคยไปเรียกชื่อว่า จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ หรืออะไรเลย เพราะว่าไม่มีใครบอกเราว่า แท้ที่จริงชื่อต่างๆ เหล่านี้หมายความถึงสภาพธรรมอะไร แต่ภาษาไทยเราก็บอกว่า เห็น ไม่ต้องใช้ภาษาบาลี เพราะว่าคนไทยจะเข้าใจได้ก็โดยภาษาไทย

    เพราะฉะนั้นเห็น มีจริงไหมคะ เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้มีจริงๆ ไหมคะ มีจริง เพราะกำลังถูกเห็น ใช่ไหมคะ

    เพราะฉะนั้นธรรมก็คือชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ว่าขณะที่นอนหลับสนิท มีธรรมอะไรปรากฏหรือเปล่า หลับสนิท เป็นใคร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน มีสมบัติอะไร มีพี่น้องอะไร มีอะไรๆ ทั้งหลายก็ไม่มีเลย ขณะนั้นโลกนี้ไม่ปรากฏ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ สิ่งที่เคยมีตอนที่ไม่หลับ ไม่ปรากฏเลย

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ชีวิตของเราตามความเป็นจริงทรงแสดงไว้ตั้งแต่เกิดจนตาย โดยละเอียดว่าเป็นธรรม คืออะไรบ้าง


    หมายเลข 8264
    24 ส.ค. 2567