ยังคิดที่จะทำอีกรึเปล่า ๑


    ผู้ฟัง จิรกาลภาวนาในกายคตาสติ เราทำอย่างไร อย่างพวกผมนี้ มันทำไม่ได้ตลอด มันพักๆ ครู่ๆ จะมีผลได้สักขนาดไหน

    ท่านอาจารย์ จะทำหรือจะเข้าใจ

    ผู้ฟัง ทั้งทำด้วยทั้งเข้าใจด้วย

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ค่ะ ขณะที่ทำ เข้าใจหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เข้าใจตามสติที่

    ท่านอาจารย์ เข้าใจอะไรขณะที่ทำ

    ผู้ฟัง เข้าใจว่า กาเย กายา

    ท่านอาจารย์ นั่นซิคะทำอะไร

    ผู้ฟัง เราใช้สติพิจารณา

    ท่านอาจารย์ ใช้สติได้หรือคะ มีสติที่ไหนที่จะใช้

    สภาพธรรมเกิดแล้วดับ เร็วมาก แต่ละขณะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ แล้วจะไปใช้สติเมื่อไร มีสติตรงไหนที่จะใช้ การศึกษาธรรมเพื่อให้เข้าใจว่า ไม่มีเรา ศึกษาให้เข้าใจว่า ถ้าไม่มีนามธรรม คือ จิต เจตสิกเกิด มีแต่รูปธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลเกิด เป็นแต่เพียงรูปเกิด แต่ขณะใดที่มีจิต เจตสิกเกิดเป็นสภาพรู้ พร้อมทั้งในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ต้องมีรูปเกิดร่วมด้วย เกิดพร้อมกันในขณะปฏิสนธิ ขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นจิต เจตสิก รูป คือไม่ว่าจะศึกษาตอนไหน ตรงไหน ก็คือสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นในขณะที่เกิด ตั้งใจจะเกิดตรงนี้ ครอบครัวนี้ วงศาคณาญาตินี้ได้ไหม ไม่ได้เลย เพราะว่าการเกิดเป็นผลของกรรม จิตที่เกิด เราแบ่งจิตออกเป็นกุศล อกุศลซึ่งเป็นเหตุ และวิบากซึ่งเป็นผล กุศลวิบากเป็นผลของกุศล อกุศลวิบากเป็นผลของอกุศล ปฏิสนธิวิบากจิต และเจตสิก ขณะนั้นเป็นผลของกรรมหนึ่งที่ทำให้เมื่อจุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันที นี่ไม่ใช่เรา เป็นสภาพของวิบากจิตซึ่งเลือกไม่ได้เลย และเมื่อวิบากจิตเกิดขึ้นแล้ว ก็จะดับ และมีจิตเกิดสืบต่อโดย อนันตรปัจจัย และสมันตรปัจจัย คือ ตัวจิตเป็นปัจจัย ทันทีที่จิตดับต้องเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ ซึ่งเราก็เรียนมา แต่เราไม่เคยใช้คำว่า “ปัจจัย” แต่ถ้าเราเริ่มเข้าใจปัจจัยตั้งแต่ต้น การที่สภาพนามธรรมหนึ่งเกิดแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้นามธรรมอื่นเกิดสืบต่อ เป็นโดยอนันตรปัจจัย ความหมายว่า ไม่มีระหว่างคั่น เกิดดับสืบต่อ และด้วยดีตามลำดับขั้นด้วย คือ ไม่ก้าวก่ายสับสน เป็นสมันตรปัจจัย

    เพราะฉะนั้นจิตทุกขณะเป็นอนันตรปัจจัย และสมันตรปัจจัย ไม่ใช่เรา เริ่มเห็นความเป็นปัจจัยแล้ว เริ่มเข้าใจแล้วว่า เพียงชั่ว ๑ ขณะจิตซึ่งเกิดแล้วดับ เร็วแค่ไหน เพราะขณะนี้ถ้าพูดถึงรูปๆ หนึ่ง บอกว่ามีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ระหว่างเห็นกับระหว่างได้ยิน จิตเกิดดับเกิน ๑๗ ขณะ รูปดับแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าไปคิดถึงจิตซึ่งสั้นกว่านั้นอีก สั้นกว่าอายุของรูป ชั่ว ๑ ขณะจิต จะเกิดดับเร็วแค่ไหน แต่ต้องมีปัจจัย แต่เราเริ่มเข้าใจกัมมปัจจัยเป็นปัจจัยให้วิปากจิตเกิด ขณะที่เกิดเป็นวิบาก เป็นผลของกรรม และตัวจิตเองก็เป็นอนันตรปัจจัย สมันตรปัจจัย ที่ทันทีที่จิตนั้นดับก็ทำให้จิตขณะต่อไปเกิด ทำกิจภวังค์ ไม่ใช่ทำกิจปฏิสนธิ เพราะว่าปฏิสนธิกิจหมายถึงกิจที่สืบต่อจากจุติจิตเท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อทำกิจปฏิสนธิสืบต่อแล้วดับ แต่การดับไปนั้นก็ทำให้ภวังคจิต คือ จิตต่อไปนั้นเกิดสืบต่อ ดำรงภพชาติ ทำกิจภวังค์ คือไม่ให้ถึงการตายหรือจุติ ถ้ายังไม่สิ้นผลของกรรมที่จะทำให้เป็นบุคคลนั้น หรือระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ เวลาที่เป็นภวังค์ดำรงความเป็นบุคคลนั้น จนกว่าจะมีการเห็นซึ่งเป็นวิบากของกรรมหนึ่งกรรมใดทำให้เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น เป็นวิบากทำให้จิตได้ยินเกิดขึ้น เป็นวิบากจิต หรือทำให้ได้กลิ่น เป็นวิบากเกิดขึ้น ทำให้มีการลิ้มรสหรือรู้รส เป็นวิบากเกิดขึ้น ทำให้มีการรู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัสในขณะนี้เกิดขึ้น นี่เป็นวิบาก แต่ก็จะเห็นว่า คนเราจะมีแค่วิบากไม่ได้ ทันทีที่เห็นก็มีชอบ ไม่ชอบ

    เพราะฉะนั้นการศึกษาจิตโดยละเอียดทั้งหมด เพื่อเข้าใจว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่จะทำ ถ้ามีความคิดว่าจะทำ เป็นเราแน่นอน แล้วทำได้ไหมคะ จะทำอะไร จะทำจิตขณะไหน จะทำจิตดวงไหน จะเอาสติที่ไหนมาใช้ ไม่มี เพราะว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับรวดเร็ว เป็นอนัตตาเกินกว่าที่ใครจะยับยั้งได้ เพียงแต่การศึกษายิ่งเข้าใจ ยิ่งรู้ว่า เป็นการรู้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ เพราะคำว่า “กายานุปัสสนา” อนุปัสสนา นี่รู้ตาม ตามอะไร ตามสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะว่าสภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก แต่สิ่งใดที่เพียงปรากฏทั้งๆ ที่ผู้ตรัสรู้รู้ว่า เกิดดับเร็ว แต่เมื่อสภาพธรรมปรากฏให้รู้ ก็ศึกษาให้รู้สิ่งที่ปรากฏ เพื่อจะรู้ความไม่ใช่เราของสภาพธรรมนั้น

    เพราะฉะนั้นเลิกคิดที่จะทำได้ไหมคะ หรือยังคิดที่จะทำ


    หมายเลข 8269
    24 ส.ค. 2567