ชีวิตที่ถูกลวง


    ผู้ฟัง ก็แสดงว่าชีวิตเราความจริงก็ถูกลวงด้วยความคิด

    ท่านอาจารย์ ไม่มีอะไรเหลือเลย เราคิดว่า ไม่มีอะไรเหลือตอนตาย แต่ความจริง ขณิกมรณะ ขณิก คือ ขณะ ตายทุกขณะ จิตเกิดแล้วดับ คือ ตาย แล้วไม่กลับมาอีก เหมือนคนที่ตาย ที่สมมติมรณะ จะไม่กลับมาเป็นคนนั้นอีกเลย หมดสิ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้นโดยสิ้นเชิง แต่ก่อนจะตาย ขณิกมรณะ จิตเกิดดับทุกขณะ หมดไปทุกขณะ โดยไม่รู้ตัวเลย คิดว่ายังอยู่ แต่ความจริงไม่มี ถ้าจิตดับแล้วไม่เกิด หมดแน่นอน ใช่ไหมคะ แต่เพราะมีสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมเกิดต่อ ก็เหมือนมีอยู่ตลอด พอถึงสมมติมรณะ ก็เหมือนตายไปเสียชาติหนึ่ง ก็มีเกิดอีก เราอยู่อย่างนี้ เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง แต่ละชาติ นานแสนนานมาเท่าไร

    ผู้ฟัง ความจริงก็มีแต่สภาพปรมัตถ์ คือความจริงเท่านั้นเอง

    ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ เป็นธาตุซึ่งเกิดเพราะปัจจัยค่ะ บังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เมื่อมีปัจจัย ธาตุชนิดนั้นก็ต้องเกิด

    ผู้ฟัง และนอกนั้นแล้วเป็นความนึกคิดปรุงแต่ง

    ท่านอาจารย์ ความนึกคิดก็เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งคิดค่ะ มีแต่ธาตุทั้งหมด และเราคิดแต่เรื่องเกิด ใช่ไหมคะ เดี๋ยวก็โน่นเกิด เดี๋ยวก็นี่เกิด เดี๋ยวก็ทำอย่างโน้น อย่างนี้ แต่พระโพธิสัตว์คิดว่า เมื่อไรสิ่งต่างๆ ที่เกิดอย่างนี้จะหมด ไม่เกิดอีก

    นี่คือการเริ่มบำเพ็ญพระบารมี เพราะว่าเราไม่ได้เห็นชาตินี้ชาติเดียว ได้ยิน ชาติก่อนๆ ก็เคยได้ยิน แต่เป็นเรื่องราวของชาติก่อน แล้วพอถึงชาตินี้เราก็ลืมเรื่องราวของชาติก่อน เต็มไปด้วยสุขทุกข์ของเรื่องราวในชาตินี้ แต่พอสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ก็หมด แล้วก็ตั้งต้นใหม่ สุขทุกข์ในเรื่องราวของชาติใหม่ เรื่องใหม่ พ่อแม่ใหม่ เพื่อนฝูงใหม่ บุตรธิดาใหม่ วงศาคณาญาติใหม่ ทรัพย์สมบัติใหม่ แล้วก็ติด ต่อไปอีก

    ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีหนทางเลย ที่จะพ้นจากสังสารวัฏฏ์


    หมายเลข 8276
    24 ส.ค. 2567