ด้วยความเข้าใจ...ไม่ใช่ท่องจำ
ผู้ฟัง ที่อาจารย์พูดว่า ขณะที่มีความคิดนึก ถ้าขณะนั้นสติเกิดระลึกรู้ตรงความคิดนึก อันนั้นก็เป็นอารมณ์ของสติได้
ท่านอาจารย์ และขณะนั้นเป็นอะไร ไม่ต้องคิดเรื่องภายใน ภายนอกเลย เพราะเหตุว่าก่อนสติปัฏฐานเกิดมีภายใน มีภายนอก แต่พอสติปัฏฐานเกิด มีสภาพธรรมซึ่งไม่ใช่คนเลย แล้วเราก็สามารถเข้าใจความหมายของภายใน ภายนอกอีกนัยหนึ่งได้ ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของเขา เช่น มนายตนะกับธัมมายตนะ มนายตนะ ได้แก่จิตเท่านั้น นอกจากจะพูดถึงจักขุปสาท โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาทเป็นอายตนะภายใน แม้แต่ภายใน ทำไมเป็นภายใน เราก็ต้องรู้อีกว่า เป็นจริงๆ เพราะอะไร เพราะรูปตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า ถ้ากระทบสัมผัส เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เพราะมีกายปสาท ถ้าไม่มีกายปสาท เช่นที่โต๊ะไม่มีกายปสาท โต๊ะจะไม่รู้เลย อะไรที่มากระทบ เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง โต๊ะก็ไม่รู้ จะวางน้ำแข็งลงไป หรือไฟไหม้ โต๊ะไม่รู้ได้เพราะไม่มีกายปสาท
เพราะฉะนั้นรูปทั้งหมด เฉพาะรูป ๕ รูปนี้เท่านั้นที่เป็นภายใน นี่คือรูปภายใน ความหมายอีกนัยหนึ่ง เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีรูป ๕ รูป ไม่มีการรู้อะไรเลยทั้งสิ้น เหมือนต้นไม้ ใบหญ้า เหมือนสิ่งที่ไม่มีชีวิต แข็งเหมือนฟืน หมายความว่าไม่มีการรับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น แต่เมื่อมีรูปเหล่านี้ การเห็นจึงมี และมีการคิดนึก เรื่องสิ่งที่เห็นจึงมี อาศัยทางตา
เพราะฉะนั้นในพระสูตรจะแสดงวิตกที่เกิด และโลภะที่เกิด ฉันทะที่เกิด สืบเนื่องมาจากการเห็นทั้งนั้น ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย พวกนี้เป็นรูปพิเศษในบรรดารูป ๒๘ รูป ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ต้องท่องเลย รู้ว่า ๕ รูปเป็นรูปภายใน เพราะเหตุว่าเกี่ยวเนื่องติดต่อกับจิตโดยตรง เป็นรูปที่จิตอาศัยสำหรับเป็นทางรู้โลกนี้ทางตาว่า สิ่งนี้กำลังปรากฏเป็นอย่างนี้ เพราะอาศัยจักขุปสาท ถ้าคนที่ตาบอด รูปนี้ไม่มี จะไม่รู้เลย สีสันในโลกนี้ วัดพันเตา วัดสวนดอก เป็นอย่างไร ไม่มีทางเลย ถ้าไม่มีจักขุปสาท สีใดๆ ก็ไม่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นในบรรดารูป ๒๘ รูป หรือรูปทั้งหมด รูป ๕ รูปนี้เป็นรูปภายใน
อย่างนี้แล้วจะมีใครลืมไหมคะ รูปอื่นเป็นรูปภายนอก ถ้าจะกล่าวถึงอะไรที่เป็นภายใน ภายนอกโดยปรมัตถธรรม
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องโดยหลายนัย แต่นัยที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ปรมัตถธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง นอกจากปรมัตถธรรมแล้วเป็นบัญญัติ ขณะใดที่จิตไม่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ขณะนั้นมีบัญญัติเป็นอารมณ์
เพราะฉะนั้นเราก็รู้ได้ว่า ปรมัตถธรรมเท่านั้นที่เป็นสิ่งที่มีจริง จะเรียกชื่อ หรือไม่เรียกชื่อ ก็ตามแต่ จะใช้ภาษาอะไรก็ตามแต่ จะรู้หรือไม่รู้ สภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมก็มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ถ้ากำลังเป็นอารมณ์ คือปรากฏแล้วหมดไป
นี่คือสิ่งที่ปัญญาจะต้องอบรมจนกว่าจะประจักษ์แจ้งในทุกขลักษณะของปรมัตถธรรม ของสภาพธรรมที่เป็นอริยสัจที่ ๑