รู้แต่ชื่อ ไม่ได้รู้จริงๆ
เราเรียนเรื่องกุศลจิต อกุศลจิตขั้นปริยัติ เราสามารถตอบได้ว่า โลภมูลจิตมี ๘ ประเภท โทสมูลจิตมี ๒ โมหมูลจิตมี ๒ มีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย แต่เวลาที่สภาพธรรมที่เป็นอกุศลเกิด ไม่รู้ รู้แต่ชื่อ
เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า เรารู้จริงๆ ในสภาพธรรม เราเพียงแต่รู้ชื่อเท่านั้น เพราะฉะนั้นกว่าเราจะรู้ว่า เรารู้เพียงชื่อ และจะต้องอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ตัวจริง แล้วก็จะคลายความเห็นผิด ความเข้าใจผิดที่ยึดถือสภาพธรรมนั้นๆ ว่าเป็นตัวตน กว่าจะเป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น กว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบัน ผู้นั้นก็ไม่หลอกตัวเอง เพราะว่าไม่ใช่พระสกทาคามี ไม่ใช่พระอนาคามี ไม่ใช่พระอรหันต์ ความเห็นผิดในวันหนึ่งๆ เกิดน้อยกว่าการติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส เพราะฉะนั้นเราเป็นอย่างนี้มากี่ชาติ เพราะฉะนั้นพระโสดาบันดับความเห็นผิดเป็นสมุจเฉท แต่ยังมีเหตุปัจจัยที่ยังยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เพราะรู้ตามการสะสม ตามความเป็นจริงว่า สะสมอะไรมามาก แล้วก็จะดับได้ ก็ต่อเมื่อแม้ว่าเป็นนามธรรมรูปธรรม ไม่เห็นผิดว่าเป็นเรา ก็จะต้องอบรมเจริญปัญญาที่จะเห็นโทษของความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ขณะที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม ก็เห็นความหลากหลายของสภาพธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย แต่ไม่ใช่ความเห็นผิด
เพราะฉะนั้นกว่าจะอบรมเจริญปัญญาเป็นขั้นๆ ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ต้องตามความเป็นจริง ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ ก็เป็นปกติธรรมดา แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลง ก็คือกิเลสที่ดับด้วยมรรคจิต จะไม่เกิดอีกเลย