จำไว้แน่นหนาด้วยอัตตสัญญา


    ท่านอาจารย์ ถ้าฟังธรรมก็จะไม่มีอะไรเลย นอกจากจิต เจตสิก รูป แยกรูปไปส่วนหนึ่ง และรูปก็เกิดดับเร็วมาก รูปใดที่ไม่ปรากฏ รูปนั้นเกิดแล้วดับแล้ว ไม่เหลือ ก่อนที่สติจะระลึก จำไว้แน่นหนาว่า มีเรา เป็นอัตตสัญญา ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า ใครบ้างไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีปอด ไม่มีซี่โครง ไม่มีเล็บ ไม่มีผม ไม่มีในความทรงจำ ใช่ไหมคะ แต่สภาพธรรมที่เป็นปรมัตถ์ มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ

    เพราะฉะนั้นรูปใดที่เกิดแล้ว ดับแล้ว ไม่ปรากฏ รูปใดก็ตามที่เกิดแล้วดับแล้วไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะนี้รูปใดปรากฏ รูปที่ไม่ปรากฏเกิดแล้วดับแล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้นตัวทั้งตัวที่ใหญ่มาก สำคัญมาก เป็นเราตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า จริงๆ แล้วก็คือชั่วขณะใดที่รูปใดปรากฏ เพียงรูปนั้นเท่านั้นที่มีจริงๆ เหลือแค่นั้นค่ะ ปัญญาก็จะเห็นความเป็นอนัตตา ความไม่มีแขน มีขา มีตัว มีตน เพิกอิริยาบถหมด เพราะเหตุว่าอิริยาบถก็ไม่มี เฉพาะรูปใดที่สติระลึก รูปนั้นเท่านั้นจึงปรากฏ

    พระศุภกร ที่ว่าไม่มี ไม่มีเฉพาะขณะที่สติเกิดใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถึงอย่างไรก็ไม่มี ถึงเดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้น คือ ถ้าหลับตาลง ขอให้ลองหลับตาลง ที่ตัวนี่มีอะไรบ้างคะ

    พระศุภกร มีลักษณะแข็งปรากฏที่สะโพก

    ท่านอาจารย์ เท่านั้นเอง แต่อย่างอื่นไม่ปรากฏ

    พระศุภกร ไม่ได้ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความจริงเป็นความจริง แต่ปัญญาไม่ถึงระดับละ ทั้งๆ ที่สภาพธรรมแม้ขณะนี้ก็เป็นจริงอย่างนี้ ก็ยังไม่ยอมเชื่อ ยังว่ามีเราอยู่ทั้งตัว จนกว่าจะประจักษ์ว่าไม่มีเลยจริงๆ มโนทวารปรากฏจะไม่มีอะไรที่ปรากฏ นอกจากสิ่งที่สติกำลังระลึก แล้วก็เกิดดับด้วย จึงจะละความเป็นตัวตนได้ มิฉะนั้นก็ละอัตตสัญญาไม่ได้เลย หลับตาลงไปก็ยังมีเราทั้งแท่ง จำไว้แน่นหนา จนกว่าสติระลึกลักษณะของรูปใด แล้วก็เข้าใจถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรมนั้นที่กำลังปรากฏทีละอย่าง จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์ของปัญญา ไม่ใช่แต่เฉพาะศีรษะตลอดเท้า โลกที่จำไว้ทั้งหมดก็ไม่มี

    ขณะนี้เราอยู่ในโลก เต็มไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง จากความทรงจำเท่านั้น ทางตาที่เห็น ทางหูที่ได้ยิน แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่า ถ้าหลับตาแล้วไม่มีอะไรปรากฏ เพราะว่านี่เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา เสียงปรากฏ เฉพาะเสียง ปอดก็ไม่มี หัวใจก็ไม่มี เย็น ร้อน อ่อน แข็งก็ไม่มี นั่นคือขณะนั้นเป็นความจริง จริงๆ ซึ่งปัญญาถึงระดับที่ละอัตตสัญญา แต่ต้องด้วยการประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่เพียงแค่หลับตานิดหนึ่ง จริง เท่านี้ไม่พอค่ะ

    พระศุภกร ถ้าอย่างนั้นการจะซาบซึ้งข้อความนี้ได้ ก็ต่อเมื่อปัญญาสมบูรณ์ถึงขั้นนามรูปปริจเฉทญาณ ที่จะรู้ว่า อัตตสัญญาคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ เจ้าค่ะ อนัตตสัญญาคืออย่างไร และรู้ว่า ความจริงที่ประจักษ์ต้องตรงกับความจริงที่จริง แต่ว่าระดับของปัญญาต่างกัน

    พระศุภกร และถ้าปัญญาไปไกลกว่านั้น จนกระทั่งถึงมรรคจิต และหลังจากนั้น

    ท่านอาจารย์ ก็รู้ว่าเป็นสัญญา ความจำ ที่ไม่ใช่ทิฏฐิวิปลาสเจ้าค่ะ ไม่มีทิฏฐิที่จะวิปลาสเลย

    พระศุภกร มีสัญญาแน่นอนใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ มีสัญญาจำสภาพธรรมว่าเป็นสุข หรืองาม แต่ไม่มีสัญญาที่จำว่าเที่ยง

    พระศุภกร อันนี้ต้องถึงมรรคจิต ถึงจะซาบซึ้งพยัญชนะนี้ได้ แต่สำหรับปุถุชนนี่ครบ พอพูดถึงวิปลาส ๔ รู้สึก

    ท่านอาจารย์ ถึงไม่เห็นก็จำว่ามีเจ้าค่ะ

    พระศุภกร นั่นซิครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะยังมีความทรงจำเป็นอัตตสัญญา ยังไม่มีปัญญาที่ไประลึกรู้จนกระทั่งทำลายอัตตสัญญาได้


    หมายเลข 8305
    23 ส.ค. 2567