เพราะความเข้าใจยังไม่จรดกระดูก
การสนทนาธรรมไม่ใช่การถามอย่างเดียว หมายความว่าที่เราได้ศึกษาธรรมมาแล้ว ทุกคนก็ต้องการที่จะรู้สัจจะ ความจริงของธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นตำรามากมายหลายเล่ม บางคนก็อาจจะอ่านเล่มนั้น บางคนก็อาจจะอ่านเล่มนี้ แต่ผลก็คือว่าเพื่อจะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องเข้าใจจริงๆ ก็คือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม แม้ไม่เรียกชื่อเลย สภาพธรรมนี้ก็มี แต่ด้วยความไม่รู้ เราก็ยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า เป็นสิ่งที่เที่ยง และเป็นเรา เป็นตัวตน
ตั้งแต่เราเกิดจนตาย สภาพธรรมปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งเราต้องเข้าใจจริงๆ มิฉะนั้นแล้วจะไม่ทรงแสดงไว้เลยว่า วิถีจิตที่เกิดต้องอาศัยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จึงสามารถที่จะมีโลกนี้ปรากฏได้ เพราะว่าถ้าหลับสนิท ไม่ใช่วิถีจิต ไม่มีการรู้ความจริงในขณะนั้นได้ เพราะว่าสภาพธรรมไม่ได้ปรากฏทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง
เพราะฉะนั้นเราจะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ ก็คือในขณะนี้มีสภาพธรรมจริงๆ ที่กำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม แม้ไม่ต้องเรียกชื่อเลย ไม่มีชาติ ไม่มีศาสนา ไม่มีตัวธรรมหรือเป็นธาตุ เมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นเราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะรู้ความต่างของปรมัตถธรรมกับบัญญัติ ให้รู้จริงๆ ว่า สิ่งใดเป็นปรมัตถ์ สิ่งนั้นจะให้ความจริง เป็นสัจธรรม เป็นทุกขอริยสัจจะ มีลักษณะซึ่งเกิดแล้วดับ ซึ่งผู้ที่ศึกษาแล้วก็สามารถบอกจำนวนได้ว่า ธรรมใดที่เป็นทุกขสัจ แต่นั่นเป็นชื่อ แต่ตัวจริงของธรรม คือ เดี๋ยวนี้เองที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้คิดนึก อย่าลืมว่า ๖ ทางนี่ต้องแยกให้รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า สำหรับทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่สามารถจะรู้เรื่องราวของสมมติบัญญัติของสิ่งที่ปรากฏ เพราะเหตุว่ากำลังมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์เท่านั้น สำหรับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่พอถึงทางใจสามารถจะรู้ได้ทุกอย่าง เพราะเหตุว่าใจรับรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาซึ่งดับแล้ว แต่ว่าทางใจสามารถระลึกถึงหรือมีอารมณ์นั้นซึ่งเป็นปรมัตถ์เหมือนกับอารมณ์ที่เพิ่งดับ เพราะเหตุว่าจิตเกิดดับรวดเร็วมาก มากจนกระทั่งเราไม่สามารถแยกทางปัญจทวารออกจากทางมโนทวารได้ แม้ว่ามีภวังค์คั่น
นี่คือความจริง เดี๋ยวนี้ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า ขณะไหนเป็นปัญจทวารวิถี ขณะไหนเป็นมโนทวารวิถี วาระไหน เพราะว่าสืบต่อกันเร็วมาก ทางหูก็เช่นเดียวกัน ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
เพราะฉะนั้นทางใจสามารถรู้ทั้งปรมัตถ์ และบัญญัติ ซึ่งจะต้องรู้ด้วยว่า ลักษณะของปรมัตถ์ ก็คือสภาพธรรมที่มีจริงๆ มีลักษณะ ถ้าเป็นรูปธรรม ก็มีลักษณะที่ว่า รูปธรรมนั้นปรากฏได้ทางไหน บางรูปปรากฏได้ทางตา บางรูปก็ปรากฏทางหู บางรูปปรากฏทางจมูก บางรูปปรากฏทางลิ้น บางรูปปรากฏทางกาย เช่น รูปที่ปรากฏทางกายจะปรากฏทางตาไม่ได้ เราจะอาจจะคิดว่า เราเห็นแข็ง เห็นคน แต่ไม่ใช่นะคะ เห็นคือเห็นสิ่งที่ปรากฏ ต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องของทางใจที่คิด ต้องแยกออก ไม่อย่างนั้นเราจะหาปรมัตถธรรมไม่เจอ สติปัฏฐานจะระลึกลักษณะของปรมัตถธรรมไม่ได้ ถ้าเราไม่รู้ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ความจริงที่เป็นปรมัตถธรรม ประโยชน์ก็คือทำให้รู้ว่า เป็นธรรมจริงๆ ซึ่งไม่ใช่เรา เมื่อเป็นธรรม รู้ว่าเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม เราก็ไม่มี
เพราะฉะนั้นการที่จะละความเป็นตัวตน หรือความเป็นเราได้จริงๆ ก็ต่อเมื่อได้มีปัญญาพร้อมสติที่เกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ เพราะว่าสภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก ขณะนี้ก็ดับไปแล้วไม่รู้เท่าไร แล้วก็เกิดไม่รู้เท่าไร แต่ยังมีลักษณะที่ปรากฏให้ศึกษา ให้ค่อยๆ เริ่มเข้าใจได้
เพราะฉะนั้นการอบรมปัญญาก็คือสติเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย ไม่ใช่มีเราที่จะไปให้สติเกิด เพราะฉะนั้นผู้นั้นก็มีปัญญาที่จะรู้ว่า ขณะใดสติเกิด ขณะใดหลงลืมสติ นี่เป็นขั้นต้น ที่จะต้องเข้าใจจริงๆ
ไม่ทราบตอนนี้ยังมีข้อสงสัยอะไรหรือเปล่าคะ ปัญญาก็จะรู้ก็ต้องรู้สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เสียงที่ไม่ปรากฏ ปัญญารู้ได้ไหมคะ ไม่ได้ ต้องสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าสติไม่ระลึกที่แข็ง แข็งนั้นก็เกิดแล้วดับแล้ว ตั้งแต่เช้ามาจนถึงเดี๋ยวนี้
นี่คือชีวิตจริงๆ แต่ถ้าไม่รู้ ไม่อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ ก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่า สภาพใดเป็นปรมัตถธรรม และมีลักษณะที่เกิดดับจริงๆ
ฟังกันอย่างนี้มานานแสนนาน ก็ต้องฟังต่อไปอีก จนเมื่อไรคะ สติปัฏฐานเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะมีสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่ทำไมสติไม่ระลึก นี่แหละเป็นปัญหาที่หลายคนคิดที่ว่า เมื่อฟังแล้วทำไมสติปัฏฐานไม่ระลึก ไม่มีปัจจัยพอ ความเข้าใจของเราของเราไม่จรดกระดูกที่จะรู้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่มีใครบันดาล ไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครทำ
เพราะฉะนั้นอนุปัสสนา คือ รู้ตามสภาพธรรมที่มีปัจจัยกำลังปรากฏเพราะเกิดแล้วเท่านั้น ถ้าข้ามจากขณะที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังปรากฏ สิ่งนั้นดับทันที ไม่มีโอกาสได้รู้ความจริงของสิ่งนั้นเลย