เด็กๆก็รู้...เเต่เป็นเรา


    ผู้ฟัง คือตอนแรกต้องเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงก่อนว่า ตาเป็นสิ่งที่รับสัมผัสได้แต่สี เสียงนั้นทางหู กลิ่นทางจมูก

    ท่านอาจารย์ ความจริงสิ่งนี้เด็กๆ ก็ตอบได้ ใช่ไหมคะ ถ้าบอกแต่เพียงว่า ต้องได้ยินทางหู ใครๆ ก็ตอบได้ เพราะจะไปเห็นทางหู หรือได้ยินทางตาไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม คือ ชีวิตจริงๆ เป็นธรรมทั้งหมด มีทั้งหมดทุกอย่าง แต่เป็นเรา ไม่รู้ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง

    ผู้ฟัง ทีนี้พอมาถึงจุดนี้ที่ท่านอาจารย์บอกว่า เด็กๆ หรือใครๆ ก็รู้ว่า เสียงต้องได้ยินทางหู แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แล้วตรงนี้เราต้องรับรู้หรือพิจารณาตรงนี้ หรือศึกษาตรงนี้ให้เข้าใจว่า สิ่งนี้เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถูกต้องไหมคะ อันนี้คือการศึกษาในขั้นแรกให้เข้าใจก่อน คือจุดนี้ดูเป็นธรรมดา และเราเคยชินจนรู้สึกว่าไม่น่าจะต้องมาศึกษา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นน่าอัศจรรย์ที่พระไตรปิฎกเต็มไปด้วยเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และสภาพธรรมที่เกิดสืบต่อจากการเห็น การได้ยิน เช่น โลภะ หรือโทสะก็ต้องหลังจากเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว เมื่อเห็นสิ่งใดก็พอใจติดข้องในสิ่งนั้น ถ้าเป็นสิ่งที่น่าพอใจ ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เห็นแล้วก็เกิดโทสะ ยับยั้งไม่ได้ เพราะฉะนั้นทรงแสดงธรรม ไม่พ้นจากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งคนไม่รู้ก็คิดว่าง่ายมาก ธรรมดามาก ไม่เห็นพ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเลย มีธรรมส่วนไหนบ้างไหมคะที่อ่านแล้ว ศึกษาแล้ว พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่จะรู้ได้

    ผู้ฟัง ก็คงจะไม่มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ธรรมดา อย่างที่คนไม่รู้ รู้ เขาคิดว่าเขารู้ และแสนจะง่าย แสนจะธรรมดา แต่ทำไมทรงแสดงเรื่องสภาพธรรมที่เป็นธรรมดาอย่างนี้ เพราะเหตุว่าให้รู้ขึ้น ให้เข้าใจขึ้นในความจริงของสภาพธรรมนั้น ซึ่งเป็นธรรมที่เป็นอนัตตา แม้แต่เสียงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครจะดลบันดาลได้เลย เสียงทุกเสียงต้องมีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น และถ้าไม่มีสภาพรู้ ไม่มีธาตุรู้ คือ ไม่มีจิต เจตสิก เสียงไม่มีทางจะปรากฏเลย แม้เสียงมี ก็ไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่าไม่มีสภาพที่ได้ยินหรือรู้เสียงนั้น

    ธรรมดาอีก ธรรมดาเพราะเคยเห็นมาแล้ว เคยได้ยินมาแล้ว แต่ที่ไม่ธรรมดา คือ เคยคิดว่าเป็นเรา เป็นตัวตน และเริ่มมีความเข้าใจถูกขึ้น มีความเห็นถูกขึ้นว่า แท้ที่จริงแล้วก็เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง อันนี้ค่ะ ต้องเป็นธรรมไปตลอดจนกว่าจะประจักษ์ความเป็นธรรมด้วยวิปัสสนาญาณ ที่อบรมจากการที่สติปัฏฐานค่อยๆ ระลึกลักษณะของสภาพธรรมทีละอย่าง

    ผู้ฟัง สิ่งที่เราดูว่า เป็นธรรมดา ถ้าเป็นธรรมดา พระพุทธองค์คงไม่แสดงส่วนนี้ เพราะนี่เป็นความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ซึ่งเรายังไม่เข้าใจ เราก็มองว่าเป็นสิ่งธรรมดา แต่พระพุทธองค์คงไม่ทรงแสดงสิ่งธรรมดาแน่นอน ใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าถึงแม้ขณะนี้เราก็พอจะเข้าใจว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง แต่ไม่เที่ยงโดยความเป็นเรารู้ และสิ่งที่ดับไป ก็มีสิ่งอื่นเกิดต่อ เพราะฉะนั้นความไม่เที่ยงนั้นไม่น่าตระหนก ไม่เห็นว่าเป็นภัย ไม่เห็นว่า การดับไปของสภาพธรรมที่เกิดไม่ยั่งยืนเลย ยับยั้งไม่ได้ ใครก็ห้ามหรือหยุดยั้งไม่ได้เลย แต่ว่าเพราะความไม่รู้ ต่อให้จะบอกว่า เห็นเกิดดับ ได้ยินเกิดดับ โลภะเกิดดับ โทสะเกิดดับ ก็ธรรมดา ก็นั่งอยู่อย่างนี้สบายๆ โลภะก็เกิดดับ โทสะก็เกิดดับ ทุกอย่างก็เกิดดับ เพราะเหตุว่าไม่ใช่ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งความไม่ใช่เรา แต่เป็นเพียงธาตุแต่ละอย่างซึ่งน่าอัศจรรย์มากที่ต่างกันไป ต่างกันไป ไม่ซ้ำกันเลยตามเหตุตามปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นถ้าสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน แล้วไม่เคยรู้ และยึดถือว่าเป็นเรา พระปัญญาที่ได้ทรงบำเพ็ญมาที่ตรัสรู้ ก็ตรัสรู้สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ในชีวิตประจำวันนี่เอง แต่ทรงตรัสรู้โดยละเอียด โดยลักษณะที่เป็นธาตุ โดยลักษณะที่เป็นขันธ์ โดยลักษณะที่เป็นอายตนะ เพื่อที่จะให้ผู้ที่ได้ฟัง ได้อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ความเป็นขันธ์ ความเป็นธาตุ ความเป็นอายตนะเช่นเดียวกับพระองค์ จึงจะคลายความเป็นตัวตนได้


    หมายเลข 8312
    23 ส.ค. 2567