เข้าใจลักษณะของปรมัตถ์ที่กำลังมี


    ผู้ฟัง อย่างปกติเราเห็น บัญญัติก็เข้ามา

    ท่านอาจารย์ ต้องรู้ว่าทางมโนทวาร นี่เป็นปัญญาที่จะทำให้ระลึกทางตาว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น

    ผู้ฟัง หมายถึงทางตาเราก็รู้ว่า ที่เป็นปรมัตถ์ก็คือจำ จำจนกระทั่งมีปัจจัยให้

    ท่านอาจารย์ ปรมัตถ์มีลักษณะจริงๆ

    ผู้ฟัง จำลักษณะของปรมัตถ์ จนสติจะเกิดระลึกในลักษณะของปรมัตถ์ อย่างนั้นหรือคะ

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว โดยมากทุกคนจะไม่พูดถึงอาการ ๓ รอบ ของอริยสัจ ๔ แต่ข้อความในพระไตรปิฎก ทรงพระมหากรุณาที่จะแสดงให้คนรุ่นหลังไม่เข้าใจผิด จึงได้ทรงแสดงอาการ ๓ รอบของอริยสัจ คือ สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ

    เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ไม่ใช่ใครก็ตาม มาเถอะ นั่ง แล้วดูอะไรก็จ้องไป คิดไป จนกว่าจะรู้ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่สัจญาณ หมายความว่า ผู้นั้นสามารถจะเข้าใจอริยสัจทั้ง ๔ อย่างถ่องแท้มั่นคง สัจจะ เป็นความจริงว่า ทุกขอริยสัจจะได้แก่อะไร ถึงเราจะไม่ศึกษาโดยตัวเลข แต่เราพิจารณาโดยเหตุผลว่า ขณะนี้สภาพธรรมมี แล้วปัญญาจะรู้อะไร ถ้าไม่รู้ธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ ถ้าโดยศึกษาก็กล่าวไปถึงจิตกี่ประเภท เช่น เห็นขณะนี้ หรือรูปทั้งหมดขณะนี้ที่มีรูปใดปรากฏก็ให้รู้ จนกว่าจะประจักษ์การเกิดดับ

    นี่คือสัจญาณ ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงอย่างนี้จริงๆ ไม่มีเราที่จะไปทำให้สติเกิด แต่เวลาที่มีความเข้าใจมั่นคงว่า ขณะนี้เป็นธรรม มีปัจจัยทำให้ระลึกลักษณะของธรรม ซึ่งมีลักษณะจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทุกอย่างมีเพราะจิตรู้ ปรากฏเพราะจิตรู้ ขณะนี้จะเห็นอะไร ตามฝา ตามเพดาน นอกถนน ในห้อง ทางหน้าต่าง ก็เพราะจิตเห็น หรือว่าเวลานี้มีเสียง ไม่ว่าจะเสียงอะไรทั้งหมดที่ปรากฏก็เพราะจิตได้ยิน

    เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีสักขณะเดียวซึ่งขาดจิต เจตสิกที่เกิดดับ และรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ให้มีความมั่นคงอย่างนี้ และรู้ความต่างระหว่างทางตากับทางใจ ทางหูกับทางใจ เพื่อรู้ว่า ขณะใดเป็นปรมัตถ์ ขณะใดไม่ใช่ปรมัตถ์ ถ้าเห็นคน เห็นเป็นปรมัตถ์ คนเป็นความจำหรือความคิดในรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่เห็น ไม่ใช่ไม่มี พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลาย ก็รู้ว่า สิ่งที่เห็นเป็นอะไร เวลาที่ทรงแสดงธรรม ผู้ฟังก็เข้าใจความหมาย และสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมด้วย เพราะเหตุว่ามีธรรมจริงๆ กำลังปรากฏแก่ปัญญาที่ได้อบรมแล้ว

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องจริงที่ปัญญาจะต้องรู้ความต่างของปรมัตถ์กับบัญญัติ มิฉะนั้นบางคนจะหลงไปพิจารณาบัญญัติ ซึ่งไม่ใช่ปรมัตถ์ และเข้าใจว่า นั่นคือหนทางที่จะรู้ปรมัตถธรรม แต่ไม่ใช่ หนทางที่จะรู้ปรมัตถธรรม ก็คือรู้ตั้งแต่ขั้นเรียน ขั้นฟังว่า อะไรเป็นปรมัตถ์ และจะรู้จริงก็ต่อเมื่อสติปัฏฐานเกิด และระลึกลักษณะตรงสภาพที่เป็นปรมัตถ์ เพื่อจะรู้ว่าเป็นปรมัตถ์ ไม่ใช่เพราะเราคิดเอาเอง ไม่ใช่เพราะเราเพียงฟัง แต่ความเข้าใจของเรา เข้าใจในลักษณะของปรมัตถ์ที่กำลังมี


    Tag  ชุมพร  
    หมายเลข 8315
    23 ส.ค. 2567