จำผิดไว้อย่างแน่นหนา
ผู้ฟัง ความสัมพันธ์ระหว่างสติปัฏฐาน ๔ กับมรรคมีองค์ ๘ นั้น มีอย่างไรครับผม
ท่านอาจารย์ สติปัฏฐานเป็นเบื้องแรก การที่สภาพธรรมที่มีในขณะนี้เกิดดับอยู่ และถ้าสติไม่เกิดระลึกลักษณะหนึ่งลักษณะใด ไม่มีทางที่โพธิปักขิยธรรมอื่นๆ จะเจริญหรือจะเกิดได้ แต่เมื่อขณะใดที่สติปัฏฐาน ๔ เกิด เมื่อสติระลึกลักษณะของอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดซึ่งเป็นปรมัตถธรรม ต้องเป็นอารมณ์ที่มีจริงๆ บางคนก็จะอ่านกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีกี่บรรพ และอะไรบ้าง ก็คงจะสงสัยว่า นี่เป็นปรมัตถธรรมหรือ เช่น อสุภ ๑๐ ซากศพ ซากศพที่นี่ที่เป็นสติปัฏฐาน ไม่ใช่ให้เรานึกถึงซากศพ แต่เมื่อเห็น ซึ่งทุกคนเห็น และก็รู้ด้วยว่า คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ซากศพ เพราะอะไรปรุงแต่งคะ สัญญา ความจำ ปรุงแต่งว่า รูปารมณ์ที่ปรากฏนี้เป็นคนที่ยังมีชีวิต และสัญญาก็ปรุงแต่งว่า รูปารมณ์นั้นเห็นซากศพซึ่งไม่มีชีวิต แต่ความจริงสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูปารมณ์ อย่างเดียว
เพราะฉะนั้นไม่ว่าเรื่องราวทั้งหลายซึ่งเคยเป็นเรา เป็นเขา เป็นซากศพ เป็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง หรือว่าเป็นลมหายใจ ที่เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จะเห็นว่า ทรงแสดงเรื่องของสภาพธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา หรือเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เช่น ขณะนี้ที่เห็น ถ้าเป็นสติปัฏฐานจริงๆ จะรู้ความต่างของความคิดหรือความที่เคยทรงจำไว้ว่า เป็นคน เพราะรู้ว่าไม่ใช่ สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่มีคนเลย ไม่ใช่คนด้วย
ซึ่งขอให้พิจารณามากๆ คิดไตร่ตรองจนกว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตามีแน่นอน เพราะเหตุว่ากระทบกับจักขุปสาท จึงได้ปรากฏ แต่เมื่อสิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏแล้ว ความคิดนึกเอาคน วัตถุ สิ่งต่างๆ จากสิ่งที่ปรากฏทางตา มาเก็บ มาทรงจำเอาไว้เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ
นี่คือความทรงจำรูปร่างสัณฐานจากสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นทันทีที่เราออกจากห้องนี้ไป แล้วเรานึกถึงห้องนี้ จะนึกถึงดอกมะลิในพานนี้ก็ได้ เวลานี้กำลังเห็นอย่างนี้ ซึ่งความจริงเป็นแต่เพียงสีสันวัณณะ แต่ใจคิดถึงรูปทรงของดอกมะลิ จึงรู้ว่าไม่ใช่ดอกกุหลาบ และยังรู้รูปทรงของพาน ซึ่งไม่ใช่ดอกมะลิ เราเห็นอย่างนี้ แล้วเรารู้อย่างนี้ เราคิดอย่างนี้ แค่ออกไป หรือเพียงหลับตา ลองนึกซิคะว่า เรานึกได้แค่ไหน แต่เห็นนี่เราเห็นก้านสีเขียวอ่อนๆ เห็นกลีบขาวๆ ที่บาน บางดอกก็ตูม นี่เราเห็นไปแล้วก็คิดไปตลอด แต่พอหลับตา ลองคิดถึงดอกมะลิในพาน จะออกมาอย่างไร คิดได้แค่ไหน ในความคิดไม่ใช่สิ่งที่กำลังเห็นเลย แต่เราเอาความทรงจำออกมาจากสิ่งที่ปรากฏทางตามาเป็นเรื่องเป็นราวที่จำไว้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่มีจริง มีในความคิดเท่านั้น ถ้าไม่คิดถึงดอกมะลิ ดอกมะลิก็ไม่มี แต่ในขณะที่เห็น รูปร่างสัณฐานทรงจำไว้ ทางตาจะละเอียดเพราะกำลังเห็นด้วย และก็คิดไปอย่างละเอียด แต่พอรู้ว่าเป็นดอกมะลิในพาน เพียงแค่หลับตา ไม่สามารถจะคิดให้เหมือนอย่างที่เห็นได้
เพราะฉะนั้นความจำของเราที่เป็นคน เป็นสัตว์ จากสิ่งที่ปรากฏทางตาทุกเมื่อเชื่อวัน จำไว้แล้วจำไว้อีก จำไว้แล้วจำไว้อีกว่า เป็นคนนั้นคนนี้ อย่างนี้อย่างนั้น ที่จะลบเลือนไป ยาก จนกว่าปัญญาจะรู้จริงๆ ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตานั้นปรากฏเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ส่วนความจำความคิดต้องทางอื่น คือ ทางมโนทวาร ซึ่งทางตากำลังเห็น มีสิ่งที่ปรากฏนี่คิดว่าเป็นอะไรไม่ได้เลย เพียงแค่เห็น แล้วก็ต่อไปทางใจ แล้วก็เห็นอีก แล้วก็ต่อไปถึงทางใจอีก จึงปรากฏเป็นโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่สับสนที่ยากจะแยกออก
เวลาฝัน เราฝันเห็นอะไรก็ได้ แต่ไม่เหมือนสิ่งนั้นที่กำลังปรากฏทางตา เป็นเพียงความทรงจำเรื่องราวบัญญัติ เหมือนขณะนี้ ทันทีที่หลับตาก็ทรงจำเรื่องราวบัญญัติของดอกมะลิในพาน แต่ไม่สามารถจะปรากฏทางตาเหมือนอย่างสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า เราเอาเรื่องราวออกมาจากสิ่งที่ปรากฏทางตามาเป็นสัตว์ เป็นคน แล้วทรงจำไว้แน่นหนา ไม่ลืมเลือน