ต้องรู้ความต่างของปรมัตถ์กับบัญญัติ
เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความต่างของปรมัตถ์กับบัญญัติ ไม่ว่าจะเป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ต้องทราบว่า ขณะนั้นสิ่งที่เป็นปัฏฐาน เป็นเพียงเครื่องเตือนให้ระลึกสภาพที่เป็นปรมัตถธรรม
เมื่อกี้นี้ก็มีหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งท่านผู้นั้นก็ถามถึงผลของการระลึกรู้ลักษณะของกาย เวทนา จิต ธรรม เพียงเพื่อรู้ว่าเป็นธรรม เท่านั้นเอง เพราะจริงๆ แล้วเป็นธรรมเท่านั้น เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็คือเป็นธรรม
นี่ก็เป็นสิ่งที่ต้องศึกษาโดยละเอียด ต้องเข้าใจ และต้องประกอบสอดคล้องกับสูตรอื่นๆ ด้วย เช่น สัปปายสูตร ที่ท่านพระสารีบุตรแสดง อะไรเป็นสัปปายะที่สติปัฏฐานจะเกิด ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง กล่าวไว้ว่า ลักษณะที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็คือสภาพที่เป็นปรมัตถธรรมนั่นเอง
เพราะฉะนั้นถ้าเราได้ยินคำว่า สัปปายะตรงนี้ สัปปายะตรงนั้น สัปปายะตรงอื่น ก็ต้องเข้าใจให้สอดคล้องกันด้วยว่า หมายความถึงอะไร เรื่องอะไร ระดับไหน ทำไมทรงแสดงไว้โดยนัยต่างๆ ไม่ใช่โดยนัยเดียว เพื่อให้เราเข้าใจให้ถูกต้อง ประกอบกันให้เข้าใจยิ่งขึ้น แต่ถ้าไม่รู้ความต่างของปรมัตถ์กับบัญญัติ ไม่มีทางที่ปัญญาจะเจริญ