วิปัสสนาญาณที่ ๑ รู้อะไร - ๑


    พล.ต.ศิลกัล วิปัสสนาญาณที่ ๑ รู้อะไรครับ

    ท่านอาจารย์ เวลาที่สติเกิด สติระลึกอะไรที่จะรู้ว่า วิปัสสนาญาณที่ ๑ รู้อะไร ถ้าหยิบชื่อมาบอกก็ง่ายค่ะ แต่ว่าเหตุที่จะให้รู้จริงอย่างนั้น เวลาที่สติปัฏฐานเกิด สติปัฏฐานระลึกอะไร

    พล.ต.ศิลกัล ระลึกสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมอะไร

    พล.ต.ศิลกัล แล้วแต่สภาพธรรมใดที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เมื่อระลึกแล้วรู้อะไร

    พล.ต.ศิลกัล รู้สภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ รู้สภาพธรรม เป็นอย่างไรคะ ถ้าระลึกลักษณะ ต้องมีลักษณะของสภาพธรรม ไม่ใช่ระลึกเฉยๆ สภาพลักษณะที่เป็นรูปธรรม หรือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม โดยที่ยังไม่เคยรู้ลักษณะแท้จริง เพียงแต่ฟัง แล้วก็เข้าใจว่า รูปต่างกับนาม นี่คือขั้นฟัง

    นามเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้ ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลย แต่ขณะที่สติระลึกมีเห็น ตามปกติธรรมดา เพราะสั้นมาก นิดเดียว ถ้าระลึกที่แข็ง แต่ตรงนั้นก็รู้ลักษณะที่แข็ง แทนที่จะเป็นเรื่องราว ก็มีการระลึกศึกษา เข้าใจลักษณะนั้น ซึ่งเป็นขณะที่สัมมาสติเกิดว่า เป็นขณะนั้นสติเกิด ตรงนั้นเท่านั้นที่ปัญญาจะเจริญ คือ ตรงที่สติระลึก ถ้าสติไม่เกิด อย่างไรๆ ปัญญาก็เจริญไม่ได้ ก็เป็นเพียงขั้นนึกคิดไปเรื่องนามธรรมรูปธรรมโดยตลอด แต่ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรม สติปัฏฐานไม่เคยเกิด ไม่เคยระลึก แต่เมื่อสติปัฏฐานเกิดระลึก จึงรู้ลักษณะที่ต่างกัน เพราะว่านามธรรมไม่ใช่รูปธรรม รูปธรรมไม่ใช่นามธรรม ที่เคยฟังมาเป็นอย่างไร ลักษณะแท้จริงของเขาก็ปรากฏอย่างนั้น เช่น ทางกาย เวลาที่สติปัฏฐานระลึกที่กาย จะมีอะไรปรากฏ

    พล.ต.ศิลกัล รูปปรากฏครับ

    ท่านอาจารย์ รูปอะไร

    พล.ต.ศิลกัล รูปสี

    ท่านอาจารย์ ที่กายนะคะ

    พล.ต.ศิลกัล ไม่ใช่ครับ ที่ตาครับ

    ท่านอาจารย์ ทีนี้พูดถึงกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เวลาที่สติปัฏฐานเกิดระลึกที่กาย ตรงกาย จะมีรูปอะไรปรากฏ

    พล.ต.ศิลกัล ก็มีเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

    ท่านอาจารย์ ไม่พร้อมกัน เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เย็นแค่ไหนไม่ต้องวัด ร้อนแค่ไหนก็ไม่ต้องวัด ไม่มีคำพูดใดๆ เพราะว่าลักษณะนั้นกำลังปรากฏ จะต้องไปนึกถึงชื่อไหมคะ บางคนก็ยังถามว่า แล้วนี่เป็นสติปัฏฐานหรือเปล่า ก็ยังถาม นี่คือการไม่รู้ค่ะ เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นมรดกที่พุทธบริษัทได้รับจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ได้ฟังสิ่งซึ่งเมื่อฟังพิจารณาแล้วเป็นความเข้าใจของตัวเอง สำคัญที่สุดค่ะ อย่าไปคิดว่า จะยกความรู้อันนี้ให้ใคร หรือจะไปทำให้เขาพูดตามได้ คิดตามได้ แต่ไม่สามารถเข้าใจจริงๆ ได้

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นเรื่องที่ต้องให้เขา ประโยชน์สูงสุดของกัลยาณมิตร ก็คือให้ผู้ที่ฟังสามารถมีความเข้าใจของตัวเอง แม้แต่เวลาที่สติระลึก สติระลึกอะไร ต้องมีสิ่งที่สติระลึกเป็นปรมัตถธรรม เป็นธรรม ธรรมอะไร ก็ต้องมีลักษณะที่ต่างว่า ขณะนั้นระลึกลักษณะของรูปธรรม หรือลักษณะที่เป็นนามธรรม เพราะทั้งสองอย่างนี้ต่างกัน เพราะว่านามธรรมไม่มีรูปร่างใดๆ เลย แต่รูปธรรมจะมีลักษณะต่างๆ ปรากฏทางตาอย่างหนึ่ง ทางหูอย่างหนึ่ง ทางจมูกอย่างหนึ่ง ทางลิ้นอย่างหนึ่ง ทางกายอย่างหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นที่กาย กายปสาทจะกระทบกับสิ่งที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ที่เรารู้ว่า อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหวที่กาย เพราะมีกายปสาท ถ้าไม่มีกายปสาท จะไม่รู้เลย ที่ใดก็ตามที่ตัวที่ไม่มีกายปสาท จะไม่มีลักษณะที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อนปรากฏ เพราะฉะนั้นเมื่อเย็นหรือร้อนปรากฏ เคยเป็นเราเย็น เราร้อน เราอ่อน เราแข็ง เราตึง เราไหว ก็รู้ว่าขณะนั้นเป็นลักษณะของธรรมชนิดหนึ่ง ขณะนั้นเป็นสติปัฏฐานที่ระลึกลักษณะของรูป แล้วสติปัฏฐานก็ต้องระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมด้วย สภาพรู้ หรือธาตุรู้ สามารถรู้ได้ทุกอย่าง แต่ขณะนั้นที่รูปใดปรากฏก็เพราะสติกำลังระลึกลักษณะของรูปนั้น เมื่อเป็นการอบรมปัญญาที่จะรู้ลักษณะของธรรมที่ต่างกันเป็นนามธรรม และรูปธรรม เวลาที่เป็นวิปัสสนาญาณ คือ ความสมบูรณ์ของปัญญาจะประจักษ์แจ้งอะไร คำถามที่ว่านี่ต้องมาจากเหตุ ถ้าสติปัฏฐานระลึกลักษณะของรูปธรรม สติปัฏฐานระลึกลักษณะของนามธรรม เมื่อถึงความสมบูรณ์ประจักษ์แจ้งจริงๆ สภาพธรรมนั้นปรากฏจะเป็นการรู้ลักษณะของอะไร

    พล.ต.ศิลกัล ปรมัตถธรรม

    ท่านอาจารย์ ของอะไร

    พล.ต.ศิลกัล ของรูปธรรม และนามธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นวิปัสสนาญาณที่ ๑ จึงเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ปัญญาที่ประจักษ์ความต่างของนามธรรม และรูปธรรม ปัญญาที่สมบูรณ์ ไม่ใช่เพียงขั้นระลึก แล้วยังไม่รู้ สงสัยไปว่า นี่นามหรือรูป นั่นไม่ใช่วิปัสสนาญาณ แต่วิปัสสนาญาณต้องเป็นขณะที่ถึงกาลที่สภาพธรรมปรากฏทางมโนทวาร แยกขาดจากกันในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม


    หมายเลข 8320
    23 ส.ค. 2567