พรหมเห็นผิดได้มั้ย
ผู้ฟัง ยังมีหลายๆ ท่านที่คิดว่า ศีล สมาธิ เป็นส่วนที่ทำให้เกิดปัญญา ตรงนี้ที่ท่านอาจารย์อธิบาย ตามความเป็นจริงแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจชัด คือ ศีล และสมาธิไม่ได้เป็นส่วนที่ทำให้เกิดปัญญาได้ เมื่อก่อนดิฉันได้อ่านหนังสือหลายเล่ม และได้ฟังหลายท่านใช้คำว่า เป็นบาทบ้าง เป็นพื้นบ้าง ในขณะนั้นเราก็จะเชื่อว่า จริง เพราะถ้าเราไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ เราก็ไม่มีปัญญา แต่เมื่อได้เจริญสติจริงๆ แล้วจะรู้ว่ามันต่างกัน คือ ขณะที่ทำบุญใส่บาตร ในขณะนั้นตัวตนทำบุญเต็มที่ ยิ่งใส่บาตรหรือทำทาน สติจะไม่เกิดเลย เพราะว่าในขณะนั้นมีความรู้สึกว่าเป็นเรา นี่คือศีล และสมาธิไม่อาจะทำให้เจริญสติ ทำให้เกิดปัญญา ตรงนี้เป็นส่วนที่ทำให้เข้าใจได้ยาก
ท่านอาจารย์ ถ้าศึกษาว่า การที่จะไปเกิดเป็นพรหมบุคคลในพรหมโลก ต้องเป็นผู้อบรมเจริญสมถภาวนาถึงระดับขั้นอัปปนาสมาธิที่เป็นฌานจิต แล้วแต่ว่าจะเป็นรูปฌานหรืออรูปฌาน คนเหล่านั้นเห็นผิดได้ไหม มีไหม หรือเขาเห็นถูกกันหมด เขารู้เรื่องสติปัฏฐานกันหมด หรือว่าเขาไม่รู้ แต่เขาสามารถอบรมความสงบถึงระดับที่ให้ผลทำให้เกิดในพรหมโลกได้
นี่คือความต่างกันของสมถภาวนากับวิปัสสนาภาวนา ถ้าได้ยินข้อความหนึ่งข้อความใด หรือผ่านข้อความหนึ่งข้อความใดในพระไตรปิฎก ก็ควรจะสอบทาน และพิจารณาว่า ที่กล่าวว่าสมาธิเป็นบาทก็ตาม เป็นสัมมาสมาธิหรือเป็นมิจฉาสมาธิ เป็นสมาธิขั้นระดับสมถภาวนา หรือสัมมาสมาธิที่เกิดพร้อมกับสติปัฏฐาน เพราะว่าแม้ในขณะนี้เองก็มีสติ แล้วก็มีสมาธิ ขณะนี้เป็นสังขารขันธ์ที่จะค่อยๆ ปรุง เราบอกแล้วว่า ไม่มีเรา แต่สมาธิขณะนี้พร้อมสติที่ได้ฟัง และค่อยๆ เข้าใจขึ้นนี้แหละ ก็จะเป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งให้สัมมาสติเกิด เมื่อถึงกาลที่สัมมาสติเกิด เพราะว่าต้องไม่ลืมว่า แม้สัมมาสติก็เป็นอนัตตา ต้องไม่ทิ้งคำว่า ทุกอย่าง ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่มีเราที่เป็นตัวตน ที่จงใจที่จะสร้าง ที่จะทำ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ถูกต้องว่าเป็นธรรม ก็ยังคงเป็นเราตลอดไป แต่ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงตั้งแต่ต้น ก็จะรู้ได้ว่า ขณะนี้เองเข้าใจความหมายของสังขารขันธ์ เพราะว่าเราจะไปหาสังขารขันธ์ที่ไหนล่ะคะ ถ้าไม่ใช่ขณะนี้ สติขณะนี้ ปัญญาขั้นฟังขณะนี้ก็เป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่ง จนกว่าจะถึงเวลาที่สัมมาสติเกิด เวลาที่สัมมาสติเกิด คนที่ไม่รู้ ก็ไม่สามารถรู้ว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร สำหรับคนที่เพียงฟัง และก็คิดว่า สัมมาสติจะเกิดได้ แต่จริงๆ แล้วถ้าย้อนกลับไปถึงคำว่า “สังขารขันธ์” แต่ละขณะที่เป็นการฟัง และการเข้าใจธรรม จะเป็นปัจจัยให้สัมมาสติซึ่งเป็นมรรคมีองค์ ๘ เกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรม ก็จะต้องรู้ว่า หมายความถึงอะไรที่เป็นบาท ถ้าสมาธิขณะนี้ก็จะเป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่ง และเวลาที่สติปัฏฐานเกิด สติไม่ใช่สมาธิ
เพราะฉะนั้นเวลาที่สติเกิด มีสมาธิ คือ เอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมด้วย เอกัคคตาเจตสิกซึ่งเกิดกับอกุศลจิต กับเอกัคคตาเจตสิกซึ่งเกิดกับกุศลจิต ต่างกันหรือเหมือนกัน
ผู้ฟัง ต่างกันค่ะ
ท่านอาจารย์ ต่างกันนะคะ เอกัคคตาเจตสิกกับสติซึ่งเกิดขั้นทาน ต่างกับเอกัคคตาเจตสิกกับสติที่เกิดขั้นศีลหรือเปล่า ต่างกัน เอกัคคตาเจตสิกกับสติในขณะที่จิตสงบ หรือสมถภาวนา ต่างกับขณะที่กำลังเข้าใจสภาพธรรมในขณะนี้หรือเปล่า ก็ต่างกัน
เพราะฉะนั้นเวลาที่สัมมาสติเกิดพร้อมกับเอกัคคตาเจตสิก ลองคิดดู คำว่า “สัมมาสมาธิ” ได้แก่ เอกัคคตาเจตสิกซึ่งเกิดกับกุศลจิต ยังมีระดับที่ต่างกันว่า เวลาที่เป็นทาน เป็นศีล แม้ว่าเป็นกุศล เป็นสัมมาสมาธิ แต่ขณะนั้นไม่ได้มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม หรือแม้แต่ในขณะที่กำลังฟัง สติกับเอกัคคตาเจตสิกก็ไม่ใช่ระดับสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่ากำลังฟังเรื่องราวของสภาพธรรม ไม่ใช่ขณะที่กำลังระลึกลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ให้ทราบว่า ขณะนี้เป็นธรรมจริงๆ กำลังปรากฏจริงๆ สติระลึกได้จริงๆ พร้อมปัญญาจริงๆ และพร้อมสมาธิจริงๆ ซึ่งขณะนั้นก็ต่างระดับอีก
เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจความหมายที่ถูกต้อง เมื่อปัญญาอบรมเจริญขึ้น ลักษณะของปัสสัทธิ ลักษณะของเอกัคคตาเจตสิก ก็ต้องเป็นบาทให้ปัญญาสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจว่า ไม่ใช่สมาธิอื่น ไม่ใช่สมถภาวนา เพราะว่าคนที่อบรมเจริญสมถภาวนา เกิดในพรหมโลกมากมาย แต่ยังมีมิจฉาทิฏฐิ มีสักกายทิฏฐิ มีทิฏฐานุสัยอยู่ได้ เพราะเหตุว่าไม่ได้อบรมเจริญปัญญาที่จะเข้าใจ ไม่ได้ฟังพระธรรม และพรหมในพรหมโลก ก็มีทั้งพรหมที่เป็นพระอริยะ และพรหมที่เป็นปุถุชน แต่เป็นพรหมที่เป็นพระอริยะ ท่านก็สามารถเข้าใจธรรมได้ถูกต้อง แต่พรหมที่ไม่ใช่พระอริยะ ก็ไม่สามารถเข้าใจธรรมได้