ถ้าไม่รู้จักรูปนาม ก็ระลึกไม่ได้
พระคุณเจ้า ก่อนหน้าที่เราจะเข้าใจเรื่องสติปัฏฐาน เราก็ต้องได้รับเหตุปัจจัยของสติปัฏฐานมาก่อน
ท่านอาจารย์ ต้องฟังเรื่องนามธรรม และรูปธรรม ฟังให้เข้าใจด้วย
พระคุณเจ้า ต้องฟังมากๆ เมื่อเข้าใจแล้ว สติปัฏฐานจึงเกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ เมื่อเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องรอเจ้าค่ะ แล้วแต่สติปัฏฐานจะเกิดเมื่อไร ไม่ใช่ฟังเพื่อให้สติปัฏฐานเกิด ไม่ใช่ฟังแล้วหวังว่า ฟังแล้วสติปัฏฐานจะเกิด ไม่ใช่ฟังแล้วคอยว่า เมื่อไรสติปัฏฐานจะเกิด แต่ฟังให้เข้าใจเรื่องสภาพธรรมตามความเป็นจริง ปัญญาต้องเจริญขึ้นตามลำดับ
พระคุณเจ้า เหตุปัจจัยของการที่สติปัฏฐานจะเกิด ส่วนหนึ่งเกิดจากการได้ศึกษามาก ฟังมาก ใคร่ครวญมาก ท่องมาก
ท่านอาจารย์ เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรม
พระคุณเจ้า ที่เข้าใจก็ต้องเกิดจากเหตุปัจจัยด้วย
ท่านอาจารย์ ฟังให้เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรม ธรรมมีลักษณะที่ปรากฏให้รู้ได้ ขณะที่นอนหลับสนิท ไม่สามารถเป็นปัญญาที่จะรู้ลักษณะของธรรมใดๆ เลย เพราะว่าธรรมใดๆ ไม่ปรากฏเลย ขณะที่นอนหลับสนิท แต่เมื่อไม่ใช่หลับ และมีสภาพธรรมปรากฏ แล้วไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจว่า เป็นธรรม เมื่อมีการฟังว่า มีแต่นามธรรม และรูปธรรม คือ มีจิต เจตสิก รูป เท่านั้นตั้งแต่เกิดจนตาย และศึกษาจนกระทั่งมีความเข้าใจมั่นคงจริงๆ และรู้ลักษณะที่ต่างกันของนามธรรม และรูปธรรม ก็เป็นปัจจัยให้มีการระลึกลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม เพราะเข้าใจความต่างของนามธรรม และรูปธรรม และรู้ว่าขณะนี้มีนามธรรม และรูปธรรม ไม่เคยขาดเลยตั้งแต่เกิดจนตาย
พระคุณเจ้า ตามปกติแล้ว ทั้งรูปทั้งนามนั้นเป็นธรรมชาติที่เกิดแล้วดับเร็ว ถ้าเราจะรู้ รู้ที่ดับไปแล้ว ขณะดับ หรือว่า
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องสนใจเลย ยังไม่รู้ลักษณะที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม เพียงแต่ฟังว่าเป็นนามธรรม ฟังว่าเป็นรูปธรรม แต่ลักษณะจริงๆ ยังไม่เคยรู้ เพียงแต่ฟัง ยังไม่เคยมีสติระลึกที่ลักษณะของนาม ยังไม่เคยมีสติระลึกที่ลักษณะของรูปที่จะรู้ตัวจริงๆ ว่า รูปคืออย่างนี้ นามคืออย่างนั้น ถ้ายังไม่ระลึกลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ไม่ต้องไปคิดเรื่องดับเรื่องเกิดเลย
พระคุณเจ้า ถ้าเราไม่รู้ว่า รูปธรรมคืออะไร นามธรรมคืออะไร จะไประลึกอย่างไร
ท่านอาจารย์ ระลึกไม่ได้ เพราะไม่รู้
พระคุณเจ้า ปกติแล้วต้องรู้ก่อน
ท่านอาจารย์ แน่นอนเจ้าค่ะ การศึกษาต้องเป็นไปตามลำดับขั้น แม้อริยสัจ ๔ ก็มี ๓ รอบ ถ้าไม่มีสัจญาณ กิจญาณก็ไม่มี ถ้าไม่มีกิจญาณ กตญาณก็ไม่มี
พระคุณเจ้า ขณะที่เราเห็นรูป สีปรากฏทางตาก็เป็นคิดอีก
ท่านอาจารย์ มิได้เจ้าค่ะ ขณะนี้จิตเห็นกำลังเห็น ไม่ใช่จิตคิด
พระคุณเจ้า เพราะตามปกติแล้ว ธรรมชาติของความคิดก็คือจิต
ท่านอาจารย์ แต่คนละวาระ ทางตา จิตไม่ได้คิดเลย ทางหู จิตไม่ได้คิดเลย ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย จิตไม่ได้คิดเลย
พระคุณเจ้า แต่ทุกครั้งที่ผ่านทางปัญจทวาร ก็ลงมโนทวารทุกครั้ง
ท่านอาจารย์ วาระแรกรู้ปรมัตถธรรมเดียวกัน แยกไม่ออกเลยว่า ขณะนี้พระคุณเจ้ากำลังเห็นเป็นจักขุทวารวิถีหรือมโนทวารวิถี ซึ่งมีภวังค์คั่นแล้ว
พระคุณเจ้า เพราะฉะนั้นเรื่องของความคิด กับเรื่องของการรับรู้อารมณ์ทางตา เราไม่สามารถกล่าวได้ว่า ไม่ใช่ความคิด เพราะว่าทุกครั้งที่ผ่านทางปัญจทวาร ต้องไปทางมโนทวาร
ท่านอาจารย์ ก่อนวาระนั้น ก่อนที่จะคิด สามารถเป็นสติที่ระลึกได้ เพราะเหตุว่าปกติของคนที่ไม่เคยฟังธรรมเลย เมื่อเห็นแล้วก็รู้ทันทีว่า สิ่งที่เห็นเป็นอะไร มีรูปร่างสัณฐานเป็นเก้าอี้ เป็นโต๊ะ เป็นดอกไม้ เป็นหน้าต่าง เป็นประตู นี่คือปกติธรรมดา แต่ให้ทราบว่า ขณะที่เห็นเป็นดอกไม้ เห็นเป็นประตู เห็นเป็นหน้าต่าง ขณะนั้นต้องเป็นมโนทวาร
เพราะฉะนั้นเมื่อมีการเห็นแล้ว แม้ว่าจะมีการรู้ว่า เป็นประตู เป็นหน้าต่างแล้วก็ตาม แต่แม้กระนั้นการเห็นนั้นก็มีอีก เพราะฉะนั้นสติปัฏฐานจึงสามารถระลึกลักษณะของสภาพธรรมได้ ไม่ว่าจะเป็นสภาพที่เพียงเห็น หรือสภาพที่เพียงปรากฏให้เห็น หรือเป็นสภาพที่กำลังคิด รู้ว่าเป็นหน้าต่าง รู้ว่าเป็นประตู เพราะว่าทั้งหมดไม่ใช่เราเลย เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งมีลักษณะจริงๆ แต่ละทาง
เพราะฉะนั้นต้องรู้ความต่างว่า ความคิดไม่ได้เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ขณะใดที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่คิด เพราะฉะนั้นเมื่อมีความรู้ความเข้าใจอย่างนี้ สติจึงสามารถระลึกลักษณะที่คิดก็ได้ ลักษณะที่เห็นก็ได้ หรือสิ่งที่กำลังปรากฏก็ได้ เพราะทั้งหมดเป็นสภาพธรรมที่มีจริง
พระคุณเจ้า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรที่เราจะเห็นรูปทางตา ฟังเสียงทางหู รู้กลิ่นทางจมูก ลิ้มรสทางลิ้น นึกคิดทางใจ อะไรก็ตาม เมื่อธรรมชาติอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เราก็สามารถมีสติระลึกรู้ได้ทั้ง ๖ ทวาร
ท่านอาจารย์ แล้วแต่สติจะเกิดเมื่อไร
พระคุณเจ้า เพราะสติเกิดจากปัจจัย
ท่านอาจารย์ เพราะสติเป็นอนัตตา
พระคุณเจ้า อย่างเช่นเราเห็นเก้าอี้ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรที่เราจะเห็นเก้าอี้
ท่านอาจารย์ เป็นของธรรมดา มีใครบ้างที่เห็นไม่เป็นเก้าอี้
พระคุณเจ้า ใช่ เพราะทุกครั้งที่เราเห็นรูปทางตา ลงมโนทวารแน่นอน แล้วการเห็นสี ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ที่เราจะเห็นเป็นดอกไม้ ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ เป็นของธรรมดาว่า เมื่อปัญจทวารวาระหนึ่งวาระใดดับ ภวังคจิตต้องเกิดคั่น มโนทวารต้องรับรู้ต่อ แล้ววาระหลังๆ จะเป็นคิดนึกเรื่องอะไรก็ได้ทั้งสิ้น แต่เร็วจนกระทั่งมองไม่เห็นเลยว่า ขณะนี้มีภวังค์ หรือขณะนี้มีมโนทวารวิถี หรือขณะนี้เป็นปัญจทวารวิถีอีกแล้ว และเป็นภวังค์คั่นอีกแล้ว และมโนทวารวิถีอีกแล้ว
ไม่ใช่เรื่องกังวล หรือไม่ใช่คิดด้วยความเป็นตัวตนว่า จะทำอย่างนี้ จะทำอย่างนั้น จะเสียหาย ไม่เสียหาย แต่เป็นเรื่องสภาพธรรมที่มีเป็นปกติอย่างไร ปกติทีเดียวเจ้าค่ะ
เพราะฉะนั้นข้อความในพระไตรปิฎก ในสติปัฏฐานสูตรเองจึงกล่าวว่า เป็นผู้มีปกติระลึกรู้ของลักษณะของสภาพธรรม ถ้าสภาพธรรมไม่ปรากฏ จะระลึกได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นในขณะที่สภาพธรรมกำลังปรากฏนี้เอง สติก็ระลึกลักษณะที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม เพราะเหตุว่าไม่ใช่เรา แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจ จนกว่าจะเป็นความรู้ชัดว่า ไม่มีเรา ลักษณะของรูปเป็นอย่างนี้ ลักษณะของนามเป็นอย่างนี้ เป็นการประจักษ์ในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม แต่ต้องเพราะสติเริ่มระลึกจนกว่าจะรู้