ประจักษ์ที่ลักษณะ ไม่ใช่คิดเอา ๑
พระคุณเจ้า เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้ พระองค์ก็สะสมปัญญา โดยเฉพาะสุตมยปัญญามามาก เพราะฉะนั้นรู้เหตุปัจจัยของอกุศล ของกุศล เหตุปัจจัยใดที่เป็นอกุศลก็ควรละ เหตุปัจจัยใดที่เป็นกุศลก็ควรเจริญ
ท่านอาจารย์ แล้วใครละเจ้าคะ แล้วใครเจริญ
พระคุณเจ้า ปัญญาละอกุศล
ท่านอาจารย์ ขณะนั้นรู้ลักษณะของปัญญาหรือเปล่า หรือเป็นตัวเราที่คิดว่าเรามีปัญญา
พระคุณเจ้า ปัญญาเกิดจากปัจจัย เพราะฉะนั้นปัญญาก็ทำหน้าที่
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเกิดจากปัจจัย ไม่มีอะไรเลยที่ไม่เกิดจากปัจจัย สังขารธรรม ธรรมซึ่งมีการปรุงแต่งเกิดขึ้น มีปัจจัยจึงได้เกิดขึ้น ทุกอย่าง
พระคุณเจ้า โดยปกติธรรมดาแล้ว คนทั่วไปอาจจะเข้าใจว่า เรามีปัญญา แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า ปัญญาเกิดจากปัจจัยจริงๆ
ท่านอาจารย์ ปัญญาอะไรที่คนทั่วไปรู้เจ้าคะ
พระคุณเจ้า ปัญญาคิดว่า ฉันรู้
ท่านอาจารย์ รู้อะไร
พระคุณเจ้า รู้ว่า นี่คือเรา นั่นคือเขา
ท่านอาจารย์ นั่นไม่ใช่ปัญญาเลยเจ้าค่ะ นั่นไม่ใช่ปัญญาเจตสิก
พระคุณเจ้า เพราะฉะนั้นปัญญาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้จึงแตกต่างจากปัญญาของคนทั่วไป
ท่านอาจารย์ ปัญญาเจตสิกไม่ใช่รู้ว่า นั่นคือเรา นั่นคือเขา
พระคุณเจ้า นี่กำลังพูดความแตกต่างของปัญญา
ท่านอาจารย์ นี่ไม่ใช่ปัญญา รู้ว่า นั่นเป็นเรา นี่เป็นเขา ไม่ใช่ปัญญา
พระคุณเจ้า นี่อาตมากำลังกล่าวถึงปัญญาของพระพุทธเจ้ากับคนทั่วไปที่เข้าใจว่า ตัวเองมีปัญญา
ท่านอาจารย์ เข้าใจผิด
พระคุณเจ้า ใช่ คนที่เข้าใจผิดอย่างนี้ เข้าใจว่าตัวเองมีปัญญา แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้เข้าใจอย่างนั้น เข้าใจว่า นี่ทุกข์ นี่เหตุเกิดทุกข์ นี่การดับทุกข์
ท่านอาจารย์ อะไรเป็นทุกข์เจ้าคะ นี่ทุกข์คืออะไร
พระคุณเจ้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ท่านอาจารย์ รูปเป็นทุกข์อย่างไร
พระคุณเจ้า รูปทุกข์เพราะเป็นภัย ไม่เที่ยง
ท่านอาจารย์ หมายความว่ารูปเกิดขึ้นแล้วดับไป ประจักษ์การเกิดดับของรูป ไม่ใช่คิดเอาว่ารูปเกิดดับ ทุกคนคิดเอาได้ว่า รูปเกิดดับ เสียงก็เกิดแล้วก็ดับ ธรรมดาเราแข็งแรงดี พรุ่งนี้ป่วยไข้ ก็ไม่เที่ยง ก็คิดเอาอย่างนั้น แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้เพียงคิด แต่สามารถประจักษ์แจ้ง
นี่คือการตรัสรู้ ต้องรู้จริงๆ ว่า การตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นคืออย่างไร ไม่ใช่คิดเลย เป็นการประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมซึ่งขณะนี้มี เราเห็นตลอด แต่เราไม่เคยรู้ เราไม่สามารถมีสติ และปัญญารู้ความจริงของเห็น จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เมื่อตรัสรู้อย่างไรก็ทรงแสดงธรรมตามที่ได้ตรัสรู้ และทรงแสดงหนทางให้อบรม ให้เข้าใจให้ถูกต้อง เป็นจิรกาลภาวนา จึงสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ได้ ไม่ใช่โดยขั้นคิดเอา
พระคุณเจ้า อย่างเช่นที่อาตมาได้ยกพระสูตร สังยุตตนิกาย นิทานวรรคมาว่า พระพุทธองค์ตรัสว่า บุคคลบางคนอาจจะเห็นรูปว่าเที่ยงได้บ้าง แต่จริงๆ รูปไม่เที่ยง แต่อาจจะเห็นว่าเที่ยงได้บ้าง เพราะตั้งอยู่ ๑ ปีบ้าง ๒ ปีบ้าง ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง
ท่านอาจารย์ ถึงไม่ทรงแสดงคนอื่นก็รู้ เจ้าค่ะ
พระคุณเจ้า อาตมากำลังจะถามว่า พระองค์ตรัสต่อไปว่า จิตทุกคนไม่พึงเห็นว่าเที่ยง เพราะว่าเกิดแล้วดับ
ท่านอาจารย์ ใครเป็นคนเห็นจิตเกิดดับ
พระคุณเจ้า พระองค์ตรัสให้ภิกษุ
ท่านอาจารย์ หมายความว่าพระองค์ตรัสรู้ลักษณะของจิตที่เกิดแล้วดับ
พระคุณเจ้า ใช่ แต่รูปก็ตรัสเหมือนกับให้คิดตามว่า รูปนี้ไม่เที่ยง เพราะเมื่อก่อนนี้อายุ ๑๖ ปี ต่อมาก็แก่เฒ่า
ท่านอาจารย์ นั่นโดยนัยของพระสูตร
พระคุณเจ้า พระสูตรกับพระอภิธรรมไม่เนื่องด้วยกันหรือ
ท่านอาจารย์ ต้องสอดคล้องกัน โดยนัยของโวหารเทศนาที่จะแสดงให้คนเห็นว่า ที่เราจะเห็นความไม่เที่ยงต่อเมื่อเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กไปสู่วัยหนุ่มสาว จากวัยหนุ่มสาวไปสู่ความแก่ หรือความเจ็บ ความตาย แต่โดยนัยของพระอภิธรรมละเอียดกว่านั้นมาก จิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วตลอด ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ว่าจะแก่ ไม่ว่าจะเด็ก ไม่ว่าจะหนุ่ม ไม่ว่าจะสาว ถ้าไม่มีรูป ก็ไม่สามารถปรากฏความแก่ ถ้าไม่มีนาม ขณะนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิต
พระคุณเจ้า ท่านบอกว่า ชั่วลัดนิ้วมือหนึ่ง จิตเกิดดับแสนโกฏิขณะ แล้วรูปก็เกิดช้ากว่าจิต แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า แสนโกฏิขณะอยู่ไหน
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรื่องนับ แต่เป็นเรื่องที่ขณะนี้ปัญญาของเราต้องเจริญตามลำดับด้วย เพียงแค่ทุกอย่างเป็นธรรม เรารู้จริงๆ หรือเปล่า ถ้าเรายังไม่รู้จริงๆ ทำไมเรารู้ตอนต้น แล้วเราจะไปรู้แสนโกฏิขณะ