การรู้รูปนามมีประโยชน์อย่างไร


    พระคุณเจ้า สติปัฏฐาน ๔ ที่คุณโยมบรรยายเพื่อให้ผู้ฟังธรรมเข้าใจ อยู่ในญาณขั้นไหน

    ท่านอาจารย์ สติปัฏฐานไม่ใช่วิปัสสนาญาณ เพราะว่าการบรรยายตั้งแต่ครั้งที่ ๑ จนถึงครั้งที่ ๒,๐๐๐ กว่า จะเริ่มต้นตั้งแต่ปริยัติ แล้วปฏิบัติ แล้วจะกล่าวถึงวิปัสสนาญาณแต่ละขั้นด้วย

    พระคุณเจ้า แสดงว่า สติปัฏฐาน ๔ เป็นก่อนวิปัสสนาญาณ

    ท่านอาจารย์ แน่นอนเจ้าค่ะ สติปัฏฐาน ไม่ใช่สติขั้นทาน ขั้นศีล หรือขั้นสมถภาวนา และอีกประการหนึ่งคำถามของพระคุณเจ้าที่ว่า ถ้ารู้ว่าเห็นขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏเป็นรูปธรรม และสภาพรู้หรือธาตุรู้มี จึงเห็น ถ้าสภาพรู้หรือธาตุรู้ ไม่มี ก็ไม่สามารถจะเห็นได้ เช่น โต๊ะเก้าอี้ ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่สามารถจะเห็นอะไรได้เลย การที่รู้อย่างนี้ มีประโยชน์อะไร นี่เป็นคำถามของพระคุณเจ้าใช่ไหมคะ

    การรู้อย่างนี้เป็นการละอนุสัยกิเลส ซึ่งเป็นกิเลสที่ละเอียดมาก ไม่ใช่กิเลสที่ละขั้นศีล หรือว่าขั้นสมาธิ แต่เป็นขั้นที่สามารถไถ่ถอนความไม่รู้ในสภาพธรรมที่เคยไม่รู้ แล้วก็เคยยึดถือว่าเป็นเรา หรือเป็นของเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะว่าตามความจริงแล้ว สภาพธรรมทุกอย่างจะเกิดได้เมื่อมีเหตุปัจจัย เป็นสังขารธรรม เป็นสังขตธรรม เป็นสภาพธรรมที่จะเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง และเมื่อปรุงแต่งแล้วเกิดปรากฏเดี๋ยวนี้ เป็นสังขตะเดี๋ยวนี้ สังขตธรรมทั้งหมดเกิดแล้วดับ

    การที่รู้ความจริง ก็คือขณะนั้นเห็นถูก เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีความเห็นถูกเลย จะกล่าวว่า รู้ความจริงไม่ได้ หรือว่าเห็นความจริงไม่ได้ ต้องเป็นขณะที่มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ที่กำลังปรากฏ แล้วเข้าใจลักษณะที่กำลังปรากฏถูกต้อง ซึ่งต้องใช้เวลาที่นานมาก เพราะว่าไม่ใช่เราที่จะไปใช้สติ ไปทำสติ เพราะว่าไม่มีใครใช้สติได้ ไม่มีใครใช้ปัญญาได้ สติจะเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย และลักษณะของสติที่เป็นสติปัฏฐาน ก็คือว่าขณะนี้ระลึกลักษณะของสภาพธรรมทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ ที่มีจริงๆ ที่ไม่มีใครไปคิด ไปฝัน ไปทำ แต่ว่าขณะนี้มีเหตุปัจจัย สภาพธรรมนั้นเป็นสังขตะปรุงแต่งแล้วเกิดปรากฏ

    เพราะฉะนั้นปัญญาที่รู้อย่างนี้จะละอนุสัยกิเลส ถ้าละอนุสัยกิเลส คือ กิเลสที่ละเอียดมาก เพราะเหตุว่ากิเลสมี ๓ ระดับ กิเลสหยาบ เราเห็นได้จากการประพฤติทุจริต ล่วงศีล แสดงว่ากิเลสนั้นหยาบมีกำลัง กิเลสที่ไม่ถึงกับล่วงศีล ที่จะออกมาเป็นกายทุจริต วจีทุจริต แต่เกิด แต่ยังไม่แสดงออกไปเลย ขณะนั้นก็เป็นกิเลสขั้นกลาง ไม่ใช่ไม่มีค่ะ ความขุ่นใจมี แต่ไม่พูด ไม่แสดง โลภะก็มี แต่นั่งเฉยๆ ใครก็ไม่รู้ว่า มีโลภะ นั่นเป็นกิเลสที่เกิดขึ้นทำกิจการงานร่วมกับจิต จึงปรากฏลักษณะของอกุศลเจตสิกนั้นๆ แต่ที่กิเลสขั้นหยาบ หรือกิเลสขั้นกลางจะมีได้ ก็เพราะมีกิเลสอย่างละเอียด ซึ่งไม่มีใครรู้เลย นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ว่า การจะดับกิเลสหมดสิ้นต้องดับอนุสัย ซึ่งเป็นพืชเชื้อที่จะให้กิเลสระดับกลาง หรือกิเลสขั้นหยาบเกิดได้

    ตัวอย่างของอนุสัยกิเลสก็คือ ขณะที่นอนหลับสนิท พระอรหันต์นอน กับโจรนอน มีใครจะบอกความต่างได้ไหมคะ กาย วาจาไม่มีอาการปรากฏเลย สภาพของจิตก็เหมือนกัน คือ วิบากจิต ขณะที่หลับสนิท ไม่ว่าจะเป็นพระอรหันต์ เป็นพระโสดาบัน เป็นปุถุชน เป็นสัตว์ เป็นอะไรก็ตามแต่ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น เพราะไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่คิดนึกทั้งหมด เป็นใคร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ก็ไม่มีเลยในขณะที่เป็นภวังค์ แต่อกุศลระดับละเอียดมาก คือ อนุสัย ยังไม่ได้ดับไปเป็นสมุจเฉท แต่สำหรับพระอรหันต์ไม่มีอนุสัยกิเลสประเภทใดๆ ทั้งสิ้น ที่จะทำให้เมื่อตื่นแล้วเห็น แล้วเป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้นความต่างก็คือ เวลาคนที่ยังมีกิเลสอยู่ตื่น ก็มีอกุศลทันทีที่เห็น ที่ได้ยิน แต่เวลาที่พระอรหันต์ตื่น ไม่ว่าจะเห็นอะไร ได้ยินอะไร ทั้งหมดเป็นฉฬังคุเบกขา ไม่หวั่นไหว เพราะว่าไม่มีอกุศล และกุศลที่จะเกิด กุศลก็ไม่มีค่ะ อกุศลก็ไม่มี สำหรับพระอรหันต์ เพราะเหตุว่าถ้ายังมีกุศล อกุศลอยู่ ก็ยังมีเหตุที่จะให้เกิดผล ซึ่งเป็นวิบากจิต ถ้าเป็นอกุศลจิต เป็นอกุศลกรรม ก็เป็นปัจจัยให้อกุศลวิบากจิตเกิด ถ้าเป็นกุศล ที่ได้ทำสำเร็จเป็นกรรม ก็จะเป็นปัจจัยทำให้กุศลวิบากจิตเกิด ไม่มีใครทำให้เห็นเดี๋ยวนี้ ไม่มีใครทำให้ได้ยินเดี๋ยวนี้ แต่กรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อถึงกาลที่พร้อมจะให้ผลเกิดขึ้น คือ ในขณะหลับให้เห็นไม่ได้ แต่เมื่อตื่นแล้วเห็น ไม่มีใครรู้ว่า เห็นขณะนี้เป็นผลของกรรมอะไร แต่เห็นเป็นวิบาก เป็นผลของกรรมที่ต้องเห็น จักขุปสาทมีกรรมเป็นปัจจัย และพร้อมที่เมื่อกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ ก็ให้เห็นสิ่งที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ตามกรรม ถ้าเห็นสิ่งที่ดี ก็เป็นผลของกุศลกรรม ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ดี ก็เป็นผลของอกุศลกรรม แต่หลังจากที่กุศลวิบาก อกุศลวิบากดับ จิตก็เป็นอกุศล โลภะหรือโทสะติดข้อง

    เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลส ก็ยังมีอนุสัยกิเลส พร้อมที่จะเกิด เมื่อถึงกาลที่เป็นชวนจิต การอบรมเจริญปัญญารู้ความจริงที่รู้ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา จนกว่าจะดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคล จะไม่มีความเห็นผิดใดๆ เกิดเลย แล้วจะเป็นการสู่กระแสของการดับกิเลสต่อๆ ไป จนถึงความเป็นพระอรหันต์

    นี่คือประโยชน์ของการเห็นแล้วรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง มีลักษณะอย่างนี้ ปรากฏได้ทางนี้ และสภาพของธาตุที่เห็น ธาตุที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ไม่ใช่เรา เกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัย เพื่อที่จะละความเป็นเราทั้งหมดในชีวิตที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา


    หมายเลข 8356
    23 ส.ค. 2567