จะวิสุทธิได้ ต้องมีปัญญา
พระคุณเจ้า ในมัชฌิมนิกายมีอยู่สูตรหนึ่ง ที่บอกหลักของการประพฤติปฏิบัติที่มีผู้หนึ่งไปถามพระพุทธเจ้าว่า การศึกษาเล่าเรียนทางโลกก็มีการบัญญัติการศึกษาไปตามลำดับ พระองค์มีการบัญญัติข้อปฏิบัติไปตามลำดับบ้างไหม พระองค์ก็บอกว่ามี อย่างในสูตรนี้ก็จะบอกว่า เริ่มตั้งแต่ปาติโมกขสังวรศีลเป็นต้นไป อาตมาเข้าใจว่า ก่อนจะเข้าใจเรื่องสติปัฏฐาน ๔ นอกจากฟังให้เข้าใจแล้ว ยังจะต้องมีการอบรมศีลวิสุทธิ จิตตวิสุทธิ ขึ้นไปตามลำดับด้วย
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจความหมายของ “วิสุทธิ” ว่า ศีล แม้จะเป็นปาติโมกขสังวรศีล พระภิกษุทุกรูปจะต้องรู้ มิฉะนั้นก็ไม่ใช่พระภิกษุในพระศาสนา แม้ว่าจะมีการประพฤติปฏิบัติตามปาติโมกข์อย่างสมบูรณ์ แต่ไม่มีการศึกษาคันถธุระ วิปัสสนาธุระ ขณะนั้นก็เป็นเรา เพราะฉะนั้นก็เป็นเพียงแค่รักษาศีลปาติโมกข์ แต่ว่าความบริสุทธิ์ของศีลปาติโมกข์ หรือศีลอื่นๆ ทั้งหมดที่จะวิสุทธิจากความเป็นเรา ก็ต่อเมื่อขณะนั้นเป็นอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา เพราะเหตุว่าแม้ไม่มีปัญญา รักษาศีลก็ได้ วิรัติทุจริตได้ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ ไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยเลย ได้
ทุกชาติศาสนา เพราะเหตุว่าพระพุทธศาสนาสอนเรื่องสภาพธรรม ไม่จำกัดเชื้อชาติเลย อย่างเห็น เป็นชาติอะไร ชาติไทยหรือเปล่าคะ ชาติญี่ปุ่น ชาติจีน โลภะ ความติดข้องเป็นชาติอะไร ไม่มีเชื้อชาติ ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นธรรมเป็นธรรม ถ้าไม่มีการศึกษาให้เข้าใจธรรม แม้จะเป็นผู้ที่มีศีล จะเป็นพระพุทธศาสนาหรือไม่ใช่พระพุทธศาสนาก็ตาม ขณะที่ใครก็ตามวิรัติทุจริต ขณะนั้นก็เป็นวิรตีเจตสิกที่วิรัติ วิรตีเจตสิกเป็นไทยหรือเปล่า เป็นฝรั่ง เป็นอเมริกัน เป็นยุโรปหรือเปล่า ก็ไม่ใช่
เพราะฉะนั้นธรรมไม่ได้มีเชื้อชาติ ไม่ว่าใครก็ตามถ้ามีศีล คนนั้นก็เป็นผู้มีกุศลจิต ขณะนั้น ไม่ว่าจะเชื้อชาติใด สามารถจะรักษาศีลได้ตามสมควร บางแห่งอาจจะมีศีลมากกว่าพระภิกษุก็ได้ ถ้าจะบัญญัติเพิ่มเติมขึ้นไปอีกๆ เขาก็ทำได้ แต่ไม่มีปัญญาที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรม
เพราะฉะนั้นเพียงขั้นศีลอย่างเดียว ไม่สามารถจะเป็นศีลวิสุทธิได้ แต่ที่จะเป็นศีลวิสุทธิได้ ต้องมีปัญญาจากการฟังพระธรรม พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะมีคำว่า “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา”
นี่คือความต่างของพระพุทธศาสนากับศาสนาอื่น ศาสนาอื่นจะไม่สอนคำนี้เลย ไม่รู้จักคำว่า “อนัตตา” แต่พระพุทธศาสนา คำสอนทั้งหมด ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด ก็คือ อนัตตา
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการเข้าใจธรรมที่เป็นอนัตตา ขณะนั้นเป็นปาติโมกขสังวรศีล ๑ ในปาริสุทธิศีล ๔ แต่ไม่ใช่ศีลวิสุทธิ
เพราะฉะนั้นในวิสุทธิ ๗ ถ้าจะอ่านดูในพระสูตร ไม่ว่าจะเป็นศีลวิสุทธิ หรือจิตตวิสุทธิ ก็ตาม ลำดับขั้นก็คือต้องถึงทิฏฐิวิสุทธิ และไม่ใช่แบบรถยนต์ที่มีคำอุปมาว่า มีทางที่จะต้องใช้รถถึง ๗ คัน จากคันที่ ๑ ถึงตรงนี้ก็ต้องเปลี่ยนเป็นคันที่ ๒ จากคันที่ ๒ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นคันที่ ๓ ถ้าตามพยัญชนะ เราก็คิดว่าเหมือนกัน จากตรงนี้ก็ไปถึงตรงโน้น แต่ความจริงการอบรมเจริญปัญญาไม่ใช่อย่างนั้นเลย ความรู้ตั้งแต่ขั้นต้นที่จะเป็นศีลวิสุทธิ จิตตวิสุทธิ ที่จะถึงทิฏฐิวิสุทธิ จะต้องสืบต่อกันไป เหมือนการเดินทางต้องสืบต่อกัน ๗ ช่วง จะขาดช่วงหนึ่งช่วงใดก็ไม่ได้ อย่าไปฟังคำอุปมาแล้วก็คิดเอาเองด้วยความเข้าใจผิดว่า เราก็ลงจากรถคันนี้ไปขึ้นรถอีกคันหนึ่ง แต่ว่าความรู้ที่อบรมมาตั้งแต่ต้นไม่สูญหายเลย และต้องสืบเนื่องกัน ซึ่งแสดงว่า ถ้าไม่มีขั้นต้น ขั้นที่ ๒ ก็เกิดไม่ได้ ขั้นที่ ๓ ขั้นที่ ๔ จนถึงวิสุทธิที่ ๗ ก็เกิดไม่ได้
เพราะฉะนั้นความรู้ทั้งหมดจากขั้นที่ ๑ ไม่ได้หายไป แล้วก็ไปเอาความรู้ขั้นที่ ๒ มา ไปเอาความรู้ขั้นที่ ๓ มา เพราะฉะนั้นการฟังธรรมต้องเข้าใจจริงๆ ว่า ประโยชน์สูงสุด คือ เพื่อความเข้าใจถูก ถ้าไม่ใช่เพื่อความเข้าใจถูกสอดคล้องกัน ก็จะหยิบพระสูตรตอนนั้นบ้าง ตอนนี้บ้าง แต่ว่าไม่ได้สอดคล้องกันเลย แต่ถ้าจะให้สอดคล้องกันจริงๆ ก็คือเข้าใจให้ถูกต้องถึงจุดประสงค์ของการเรียน และความเข้าใจจริงๆ และไม่ทิ้งความเข้าใจตั้งแต่ต้น ซึ่งจะเป็นบันไดสู่ความเข้าใจยิ่งๆ ขึ้นเจ้าค่ะ