รู้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่บิดเบือน
พระคุณเจ้า ที่อาตมานำเรื่องนี้มากล่าว ก็เพื่อที่จะทราบว่า และให้ผู้ฟังที่นั่งอยู่ในที่นี้ด้วยว่า การอบรมต้องเป็นไปตามลำดับ
ท่านอาจารย์ ต้องมีขั้นฟังก่อน เป็นปริยัติ ถ้าฟังไม่เข้าใจ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ใครเข้าใจ ไม่เข้าใจ เราไม่ต้องไปนั่งถาม ไม่ต้องไปนั่งสอบ คุณเข้าใจหรือยัง คุณเข้าใจแค่ไหน แต่คนที่ฟังเองเป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า เข้าใจหรือไม่เข้าใจ เข้าใจแค่ไหน นี่คือผู้นั้นเอง
เพราะฉะนั้นผู้นั้นก็ไม่มีใครไปฝืนว่า ไปปฏิบัตินะ จะสอนเรื่องปฏิบัติให้ จะต้องทำอย่างนี้ สติปัฏฐานคืออย่างนั้น แต่เมื่อมีการฟัง และมีความเข้าใจขึ้น ความเข้าใจนั้นเองก็จะเป็นปัจจัยปรุงแต่งให้สติปัฏฐานเกิด ของใครก็ของคนนั้น เมื่อไรก็เมื่อนั้น ไม่ใช่ว่า แต่ละคนจะต้องมานั่งพร้อมๆ กัน ทำเหมือนๆ กัน นั่นไม่ได้แสดงว่า ทุกคนมีปัญญาเหมือนกันที่จะทำอย่างนั้นได้
พระคุณเจ้า คนฟังแล้ว บางทีอาจจะเข้าใจว่า แม้ทำทุจริตก็เป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง เพราะว่าเกิดขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็อาจจะคิดว่า ศีลวิสุทธิอาจจะไม่จำเป็นก็ได้ หรืออาจจะคิดว่า ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ ไม่จำเป็นก็ได้ เพราะว่าตัวเองใส่ใจสภาวธรรม
ท่านอาจารย์ คิดเอง คิดทั้งนั้นเลยเจ้าค่ะ แต่ถ้าเข้าใจความจริงก็รู้ว่า พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงสอนทุกอย่างตามความเป็นจริง อกุศลมีหรือเปล่า อกุศลมี จริง เป็นตัวตนหรือเปล่า หรือว่าเป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยก็เกิดขึ้น ต้องรู้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ไปบิดเบือนว่า อกุศลไม่มีเจ้าค่ะ
พระคุณเจ้า สาธุ